2819
สัญญาว่าด้วยการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ แปลงที่สี่ พื้นที่น้ำคิว-ภูขุมทอง ถือเป็นสินทรัพย์ตามคำพิพากษาของศาลล้มละลายด้วยหรือไม่ ? และสัญญาดังกล่าวต้องถูกยกเลิกเพิกถอนไปตามการล้มละลายของเจ้าของสัญญาด้วยหรือไม่ ?
...
หยุดพักเรื่องราวเกี่ยวกับชายฉกรรจ์หัวเกรียนที่เข้ามาเจรจาเชิงข่มขู่คุกคามชาวบ้านเพื่อขอขนสินแร่ทองคำผสมทองแดงและสินทรัพย์ที่มีค่ารายการต่าง ๆ ที่ยังอยู่นอกบัญชีทรัพย์สินของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เอาไปขาย (ตามคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วของศาลล้มละลายที่สั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นำสินทรัพย์ทั้งหมดของเจ้าของเหมืองทองคำ คือ บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ไปขายทอดตลาด เพื่อนำเงินไปชำระหนี้แก่เจ้าหนี้รายต่าง ๆ แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ยังจัดทำบัญชีรายการทรัพย์สินไม่แล้วเสร็จ, ดูโพสต์อื่น ๆ ก่อนหน้านี้ในเพจ เหมืองแร่ เมืองเลย V2) สักครู่ มาหาความรู้ในประเด็นอื่น ๆ เกี่ยวกับเหมืองทองคำจังหวัดเลยกันดีกว่า
ตามคำถามจากหัวโพสต์นี้, มาตรา ๖๕ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ ระบุว่า “สิทธิตามประทานบัตรไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี” (และมาตรา ๕๖ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ ที่ถูกยกเลิกใช้บังคับไปแล้วก็ระบุเช่นเดียวกันว่า “สิทธิตามประทานบัตรไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี”)
ส่วนที่ว่าสัญญาดังกล่าวถือเป็นสิทธิตามประทานบัตรตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๕ ด้วยหรือไม่ ก็อาจจะต้องศึกษากรณีเทียบเคียง ดังเช่นกรณีกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) ได้ทำหนังสือถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ที่ ยธ ๐๕๐๑/๔๑๒๔ เรื่อง รายงานผลการพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ลักษณะ ๒ การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง)
โดยที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐ รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และมอบหมายให้ ยธ. รับข้อสังเกตไปพิจารณาร่วมกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของ ข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการ ครม. ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอ ครม. ต่อไป นั้น
ยธ. ได้ดำเนินการพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยกรมบังคับคดีได้มีการประชุมหารือร่วมกับผู้แทนของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ มีข้อสรุปออกมาว่าที่ให้กรมบังคับคดีกำหนดแนวปฏิบัติให้เจ้าพนักงานบังคับคดีตรวจสอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการบังคับคดียึดสิทธิของลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามใบอนุญาตประทานบัตร อาชญาบัตร สัมปทาน หรือสิทธิอย่างอื่นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันหรือเกี่ยวเนื่องกับสิทธิดังกล่าว ตามร่างมาตรา ๓๑๑ ซึ่งมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ให้ข้อมูลด้วยนั้น
สรุปได้ว่าสิทธิในการขอประทานบัตรหรือสัมปทานต่าง ๆ เป็นสิทธิเฉพาะตัว ที่มีการกำหนดคุณสมบัติเฉพาะของผู้ขออนุญาตหรือผู้ถือสิทธิไว้ อาจเกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคง หรือเป็นสมบัติของชาติ และสิทธิตามใบอนุญาตประทานบัตร อาชญาบัตร หรือสัมปทานบางอย่าง มีกฎหมายบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่าไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี เช่น สิทธิตามใบอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ หรือสิทธิตามใบอนุญาตสัมปทานปิโตรเลียม เป็นต้น
เมื่อดูจากกรณีเทียบเคียงที่ยกมานี้ ก็ถ่างกว้างขึ้นมาได้นิดหน่อย ถ้าตีความอย่างกว้างก็อาจจะแจงได้ว่าสัญญาดังกล่าวคือ “แม่” ของลูก ๆ อาชญาบัตรและประทานบัตร ดังนั้น มาตรา ๖๕ จึงรวมถึงสัญญาดังกล่าวด้วย
แต่ถ้าตีความอย่างตรงไปตรงมาก็มีประเด็นให้พิจารณาว่า สัญญาดังกล่าวไม่ได้พูดแค่เรื่อง “สิทธิตามประทานบัตร” เพื่อขอทำเหมืองแร่ตามมาตรา ๖๕ เท่านั้น แต่ยังพูดถึง “สิทธิตามอาชญาบัตร” เพื่อขอสำรวจแร่ด้วย และยังพูดถึงสิทธิการจับจองพื้นที่แปลงใหญ่มากขนาดมากกว่า ๓ แสนไร่ เพื่อจับจองเอาไว้ให้เจ้าของสัญญาดังกล่าวครอบครองแต่ผู้เดียวโดยไม่มีอายุขัย (เพื่อมอบอภิสิทธิให้แก่เจ้าของสัญญาเป็นผู้มีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียวให้ได้สิทธิตามอาชญาบัตรและประทานบัตร)
ซึ่งเป็นการทำสัญญาที่เกินไปกว่าบทบัญญัติใด ๆ ที่มีอยู่ในพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ จะสามารถให้กระทำได้ (สัญญาดังกล่าวจัดทำขึ้นเมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการบังคับใช้พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ และก็ไม่มีข้อยกเว้นหรืออนุโลมตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ จะสามารถให้กระทำได้เช่นเดียวกัน)
ดังนั้น จึงมาสู่คำถามที่สองว่า “สัญญาดังกล่าวต้องถูกยกเลิกเพิกถอนไปตามการล้มละลายของเจ้าของสัญญาด้วยหรือไม่ ?”
ก็มีเรื่องยุ่งยากให้ต้องตีความ เนื่องจากสัญญาดังกล่าวลงนามโดยกรมทรัพยากรธรณีกับ “บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด” (ปัจจุบันเป็นบริษัทมหาชนแล้ว) และ “บริษัท ทุ่งคำ จำกัด” ซึ่งทุ่งคำถูกคำพิพากษาให้ล้มละลายโดยเด็ดขาดไปแล้ว แต่ทุ่งคาฯยังโลดแล่นในตลาดหุ้นอยู่ในขณะนี้และก็คงไม่ยอมโดยง่ายที่จะให้สัญญาดังกล่าวถูกยกเลิกเพิกถอนไป
ก็ถ้าทุ่งคาฯยังแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของสัญญาดังกล่าวร่วมกับทุ่งคำ เพราะเล็งเห็นว่าสินทรัพย์มูลค่ามหาศาลอยู่ในสัญญานี่เอง ไม่ใช่สินแร่ทองคำผสมทองแดงและสินทรัพย์ที่มีค่ารายการต่าง ๆ ที่เห็นตัวตนตามที่ชายฉกรรจ์หัวเกรียนมาเจรจากับชาวบ้านอยู่ในขณะนี้ ก็ควรบังคับให้ทุ่งคาฯชำระหนี้แก่เจ้าหนี้รายต่าง ๆ (รวมทั้งชาวบ้านที่คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์คดี กำหนดให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ชาวบ้าน 149 ราย ๆ ละ 104,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง และให้ทุ่งคำซึ่งเป็นจำเลยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองทองคำจนกว่าจะกลับสู่สภาพเดิมตามมาตรฐานทางราชการ) แทนทุ่งคำด้วย จึงจะสมเหตุสมผล
เพราะไม่เพียงแต่ทุ่งคาฯถือสัญญาดังกล่าวร่วมกับทุ่งคำเท่านั้น แต่ทุ่งคาฯยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในทุ่งคำด้วยจำนวน ๔,๕๐๐,๐๐๐ หุ้น
ติดต่อประสานงาน - Contact
Tel : 099-014-3797
ทศพร แกล้วการไร่ : ผู้ดูแลเว็บ - Webmaster
Tel : 080-078-4016
อัฎธิชัย ศิริเทศ : บรรณาธิการ - Editor
Tel : 082-178-3849
Email : webmaster@thaingo.org
Office Hours : Mon-Fri , 9.00-17.00
2044/23 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพ 10310
2044/23 New Phetchaburi Road, Bangkapi, Huai Khwang, Bankok 10310
+662 314 4112