Back

วิถีมุสลิมอาเซี่ยน ท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประชาคมอาเซี่ยน

วิถีมุสลิมอาเซี่ยน ท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประชาคมอาเซี่ยน

11 May 2015

1823

วิถีมุสลิมอาเซี่ยน ท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประชาคมอาเซี่ยน

อุสตาซอับดุชชะกูร บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ) เรียบเรียง เอกสารประกอบการบรรยาย

ในโครงการสัปดาห์อาเซี่ยน สาขารัฐประศาสนศาสตร์มมหาวิทยาลัยขอนแก่น คำนำ ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานียิ่ง มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก และสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน ในหนังสือเล่มนี้จะฉายภาพตัวตนคนมุสลิม ที่มีหลักการแนวคิดและวิธีจัดการกับปัญหาต่างๆ ท่ามกลางการขับเคลื่อนของแนวคิดตะวันตะวันออก หรือ ตก (Easternization or Westernization) โดยอาศัยกระบวนการเคลื่อนไหวของข้อมูล ทุน และทรัพยากรอย่างรวดเร็วและรวมตัวสู่ประชาคมอาเซี่ยน มุสลิมจะสามารถช่วยกันแก้ปัญหา หาแนวทางจัดการปัญหาดังกล่าวด้วยตนเองที่เหมาะสมบูรณาการกับวิถีอาเซี่ยนมุสลิมหรือท้องถิ่นของตนเองได้หรือ ไม่? หลักการศาสนาอิสลามสามารถปรับเข้ากับโลกา ภิวัตน์อย่างกลมกลืนได้หรือไม่? เอกลักษณ์แห่งความเป็นมุสลิมสำนึกต่อพันธกิจและยึดมั่นในศาสนาที่ตนเองนับถือ เชื่อในความเป็นสากลนิยมและอารยธรรมแห่งประชา ชาติในประชาคมอาเซี่ยน การเผชิญหน้าทุกรูปแบบ และกล้าที่จะสนทนาแลกเปลี่ยน (Dialogue)ความรู้ ประสบการณ์ และแนวคิดอย่างสันติกับทุกกลุ่มของลัทธิโลกาภิวัตน์เป็นเรื่องท้าทายขอขอบคุณท่านเจ้าของ ข้อมูลต่างๆ จากทุกแหล่ง และหนังสือทุกท่านที่ข้าพเจ้าได้นำมาอ้างอิง และ ขอขอบคุณเพื่อนร่วมงานทุกท่านที่มีส่วนช่วยเหลือ หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะคงเป็นประโยชน์ต่อผู้ ใช้บ้างพอสมควร อุสตาซอับดุชชะกูรฺ บินชาฟิอีย์ (อับดุลสุโก ดินอะ) บทที่ 1 บทนำ ก่อนที่จะมีมนุษย์เกิดขึ้นก็มีความหลากหลายในธรรมชาติเป็นพื้นฐานมาก่อน มนุษย์ก็เกิดขึ้นในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ในที่แต่ละแห่งมนุษย์ก็ย่อมเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน และอยู่ร่วมอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ จึงมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน เรียกว่าเป็นความหลากหลายทางชีวภาพ กับความหลากหลายทางวัฒนธรรมเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกัน เพราะว่าชีวิตต้องเกิดขึ้นในที่ต่างๆ ศาสนาก็เป็นอีกฐานะหนึ่งคือเป็นวัฒนธรรมร่วม ศาสนาพุทธเป็นวัฒนธรรมส่วนใหญ่ของคนไทย ลาว พม่า เวียดนาม ในขณะที่ ศาสนาอิสลามก็เป็นวัฒนธรรมส่วนใหญ่ของคนของคนมาเลเซีย อินโดนีเซียบูรไน และศาสนาคริสต์เป็นวัฒนธรรมส่วนใหญ่ของคนของคนฟิลิปินส์ อีกส่วนหนึ่งของแต่ละประเทศพบว่า มีความหลากหลาย ทางเชื้อชาติ หลากหลายศาสนา มีทั้งไทย จีน ญวน ลาว เขมร มอญ มาลายู ศาสนาก็มีทั้ง พุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกส์ ที่ใดที่มีการเข้าถึงความหลากหลายทางธรรมชาติ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมย่อมจะมีสันติสุขหากมีการจัดการทางวัฒนธรรมที่ดี แต่ที่ไหนที่มีความขัดแย้งก็เกิดความรุนแรงขึ้น ยกตัวอย่างประเทศพม่าเป็นที่อยู่ของชนหลายเผ่า ที่อพยพมาอยู่รวมกันที่ลุ่มแม่น้ำอิรวดี ก็เกิดการกระทบกระทั่งขัดแย้งกันมาเรื่อยๆ เคยมีการรวมตัวกันแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถที่จะตกลงกันได้ มีการรวมตัวกันยากมาก มีความขัดแย้งเรื้อรังมาเรื่อยจนถึงบัดนี้ ที่มาเลเซียและอินโดนีเซียเคยมีการทะเลาะกันระหว่างชาวมลายูกับชนเชื้อสายจีน โลกปัจจุบันกำลังเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า "สงครามวัฒนธรรม" (Culture Wars) หรือ"ความขัดแย้งระหว่างระหว่างอารยธรรม" (The Clash of Civilizations )ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงโลกทัศน์ 2 แบบที่กำลังต่อสู้กันอยู่ ความขัดแย้งระหว่างโลกทัศน์ที่แตกต่างทั้งสองนี้ กำลังส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสังคมโลกทั้งมวล รวมทั้งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ "การปะทะระหว่างอารยธรรม"ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยอคติ และความคลางแคลงใจระหว่างศาสนาและเชื้อชาติ ฮันติงตัน เชื่อว่า "ความแตกแยกระดับมหาภาคระหว่างมนุษย์ด้วยกัน และที่มาของความขัดแย้งต่างๆ จะมาจากด้านวัฒนธรรม การปะทะกันระหว่างอารยธรรม จะครอบงำการเมืองโลก ... การปะทะที่สำคัญที่สุดจะเป็นการปะทะกันระหว่างอารยธรรมตะวันตก กับ "อารยธรรมที่มิใช่ตะวันตก" แต่เขาใช้พื้นที่ส่วนใหญ่ในบทความและหนังสือ บรรยายความขัดแย้ง ทั้งที่เกิดขึ้นจริงและมีแนวโน้มว่าจะเกิด ระหว่างอารยธรรมที่เขาเรียกว่า ตะวันตกข้างหนึ่ง และอารยธรรม "อิสลามและขงจื๊อ" อีกข้างหนึ่ง. ในแง่รายละเอียด ฮันติงตันให้ความสนใจอย่างไม่เป็นมิตรเอามากๆ กับอิสลาม มากกว่าอารยธรรมอื่นใดทั้งหมด ซึ่งภาพสะท้อนดังกล่าวนับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยเช่นกัน สาระสำคัญของบทความนี้ผู้เขียนต้องผู้เขียนต้องการที่นำเสนอเสนอแนวคิดการจัดการวัฒนธรรมบนความหลากหลายทางวัฒนธรรมในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งผู้เขียนมองถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมว่าเป็นธรรมชาติหากมีปัญหาก็ต้องแก้ปัญหาให้ตก บทที่2 ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2.1 สภาพทั่วไปของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2004 มีประชากรประมาณ 600 ล้านคน เกาะชวา คือเกาะที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ภาษา และศาสนา รวมทั้งมีชาวจีนอพยพมาเป็นจำนวนมาก · บรูไน: อิสลาม (67%) พุทธมหายาน (13%) คริสต์ (10%) ภูตผี และอื่นๆ (10%) · กัมพูชา: พุทธหินยาน (93%) ภูตผี และอื่นๆ (7%) · ติมอร์ตะวันออก: คริสตศาสนา (95%) · อินโดนีเซีย: อิสลาม (81%) คริสต์ พุทธ ฮินดู และอื่นๆ · ลาว: พุทธหินยาน (60%) Animism และอื่น&nbps;ๆ (40%) · มาเลเซีย: อิสลาม (61%) พุทธมหายาน (20%) คริสต์ ฮินดู และอื่นๆ · พม่า: พุทธหินยาน (89%) อิสลาม (4%) คริสต์ (4%) ฮินดู (1%) และ ภูตผี · ฟิลิปปินส์: คริสต์ (92%) อิสลาม (5%) พุทธ และอื่นๆ (3%) · สิงคโปร์: ศาสนาตามประเทศจีน (พุทธมหายาน เต๋า และ ขงจื๊อ) (51%) อิสลาม (15%) คริสต์ (14%) ฮินดู (4%) อื่นๆ (16%) · ไทย: พุทธหินยาน (95%) อิสลาม (3%) ฮินดู คริสต์ และ ฮินดู เวียดนาม: พุทธมหายาน (50%) ขงจื๊อ และ คริสต์ (50%) 2.2 วัฒนธรรมที่มีอิทธิพลสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปัจจุบันกำลังอยู่ในกระแสของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วยเหตุผลของทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก จนทำให้มองเห็นว่าทิศทางการเปลี่ยนแปลงของสังคมมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนจากสังคมแบบเกษตรไปสู่การเป็นสังคมสมัยใหม่ที่มุ่งเน้นแสวงหา “ความทันสมัย” (Modernization) ตามแนวทางของประเทศตะวันตกชัดเจนขึ้นทุกที่ จะอย่างไรก็ตามเมื่อศึกษาแล้วพบว่า การเปลี่ยนแปลงของสังคมหาได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที่อย่างที่เห็นกันอยู่ในขณะนี้ หากแต่วิวัฒนาการมาเนิ่นนาน และสามารถสรุปได้ว่าวัฒนธรรมต่างชาติที่ได้หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในระยะเริ่มแรกหรือในยุคก่อนพุทธ ศตวรรษที่ 20 นั้นกล่าวได้ว่ามีจำนวนไม่มากเท่ากับวัฒนธรรมของต่างชาติที่หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงเวลาต่อมา (พุทธศตวรรษที่ 20 - 24 และ 24 - ปัจจุบัน) ทั้งนี้เพราะสภาพเศรษฐกิจสังคมการเมืองและเทคโนโลยีในการคมนาคมและการสื่อสารในขณะนั้นมีความเจริญก้าวหน้าอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นจึงเป็นช่วงเวลาของการขยายอิทธิพลของประเทศมหาอำนาจที่อยู่ในภูมิภาคเดียวกัน ประเทศที่จัดได้ว่าเป็นมหาอำนาจในขณะนั้นได้แก่ จีน และอินเดีย อยู่ทางทิศทางตะวันออกเฉียงเหนือ จนกระทั่งนักวิชาการในยุคก่อนได้นิยมเรียกภูมิภาคในแถบนี้ว่า อินโดจีน โดยยึดหลักของความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มประเทศในภูมิภาคนี้กับอินเดียและจีนเป็นหลักด้วยเหตุผลของข้อจำกัดของสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ ได้เกื้อหนุนให้วัฒนธรรมของต่างชาติได้หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในแวดวงอันจำกัดด้วยคือวัฒนธรรมของจีนและอินเดียเท่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นไปทั้งทางตรงและทางอ้อมกล่าวคือวัฒนธรรมบางประเภทอาจจะถูกนำเข้ามาโดยชาวจีนหรืออินเดียโดยตรงเป็นที่น่าสังเกตุว่าอิทธิพลของจีนและอินเดียนั้นได้แพร่กระจายเข้าสู่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในลักษณะที่แตกต่างกันทั้งประเภท ปริมาณของวัฒนธรรม กล่าวคือวัฒนธรรมของจีนได้เข้ามามีอิทธิพลในการกำหนดพื้นฐานวัฒนธรรมไทยในเรื่องของการค้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในขณะที่วัฒนธรรมของอินเดียได้มีส่วนในการกำหนดลักษณะพื้นฐานของสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทบทุกด้าน เช่น ศาสนา สถาปัตยกรรม วรรณกรรม กฎหมาย ความเชื่อ การจัดระบบทางการเมืองการปกครอง ศิลปกรรม อักษรศาสตร์ ฯลฯ เช่นวัฒนธรรมของเขมร พม่าและมอญซึ่งตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์นั้นกล่าวได้ว่า เขมร มอญ และพม่านั้นเป็นคนเชื้อสายเดียวกันและอพยพลงมาจากจีนด้วยกัน แต่ก็แยกกันอยู่คนละที่ กล่าวคือ มอญอาศัยอยู่ตามแถบฝั่งทะเลของพม่า และลุ่มน้ำเจ้าพระยา ส่วนเขมรนั้นอาศัยอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำโขง (ลาวปัจจุบัน) และตอนบนของลุ่มน้ำเจ้าพระยาตามสภาวะของความเจริญรุ่งเรืองและความเสื่อมของแต่ละอาณาจักรในยุคนั้น ทั้งนี้เพราะหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นระบบการเมืองการปกครองตามหลักเทวาธิราช การสร้างปราสาทราชวัง เทวสถาน การสร้างศิวลึงค์บนเนินเขาเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ การเชื่อว่ากษัตริย์สืบเชื้อสายมาจากพญานาค เป็นทั้งเจ้าของแผ่นดินและผลผลิตทางการเกษตร พระมหากษัตริย์จึงต้องรักษาความอุดมสมบูรณ์ของพื้นดินโดยการสร้างชลประทาน การสร้างประสาทนครวัด ปราสาทบันทายศรี การแบ่งชั้นทางสังคม ก็มีการแบ่งกันอย่างชัดเจน คือชนชั้นสูง ได้แก่ พวกพราหมณ์ ขุนนาง นอกนั้นเป็นคนธรรมดา หลักกฏหมายก็รับเอาพระมนูธรรมศาสตร์เข้ามา และทางด้านภาษาและวรรณกรรม ก็ได้รับเอาภาษาสันสกฤตมาใช้ในราชสำนัก วรรณกรรมที่สำคัญก็มีมหากาพย์ต่าง ๆ ของอินเดีย ได้แก่ รามยนะ และมหาภารตะเช่นเดียวกัน ในส่วนของพม่ากับมอญก็มีฐานะเช่นเดียวกันกับเขมรดังที่กล่าวมาแล้ว เพราะประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่า ภูมิภาคแถบนี้เป็นบริเวณที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้ส่งสมณฑูตมาเผยแพร่ศาสนาเป็นแห่งแรก และต่อมาก็มีพ่อค้าชาวอินเดียได้เข้ามาทำการค้าขายจนมีคำกล่าวกันว่า มอญในอดีตหรือพม่าในปัจจุบันได้เป็นชนพวกแรกที่รับเอาอารยธรรมอินเดีย อารยธรรมดังกล่าว ได้แก่ ภาษา การเขียนหนังสือ ศาสนา ขนบประเพณีต่าง ๆ และความเจริญทางด้านการเกษตร สำหรับวัฒนธรรมหลักที่มีอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นผู้เขียนขอเสนอรายละเอียดพอสรุปได้ดังนี้ 2.2. 1 วัฒนธรรมอินเดีย ชาวอินเดียได้นำเอาวัฒนธรรมของตนมาเผยแพร่ไว้ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นจำนวนมาก ซึ่งทั้งนี้น่าจะเนื่องมาจากเหตุผลอย่างน้อยสองประการคือ 1) การรุกรานของพระเจ้าอโศกมหาราชที่มุ่งจะรวบรวมเอารัฐทางใต้ของอินเดียไว้ในความครอบครอง ได้ทำให้ชาวอินเดียจำนวนหนึ่งต้องหนีออกนอกประเทศ 2) จากการที่กลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออก-เฉียงใต้เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทองคำและเครื่องเทศได้กลายเป็นแรงจูงใจให้นักแสดงโชคชาวอินเดียที่มีวรรณะสูง ๆ เดินทางออกนอกประเทศเพื่อการแสดงโชคและทำมาค้าขาย ในการนี้ชาวอินเดียได้มาสร้างความสัมพันธ์ไว้กับชนชาวพื้นเมืองในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การนำเอาพิธีกรรมของพราหมณ์มาเผยแพร่ หรือการขอแต่งงานกับชนพื้นเมือง เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกพราหมณ์ได้นำเอาจารีตและพิธีกรรมมาเผยแพร่ไว้มากมาย ดังจะเห็นได้จากเมืองท่าต่างๆ ที่อินเดียเข้ามาทำการค้าขายด้วยจะมีชาวอินเดียตั้งหลักแหล่งอาศัยอยู่เป็นจำนวนหลายพันคน ดังเช่น ในแหลมมลายู เป็นต้น ผลสืบเนื่องจากการเข้ามาของอินเดียได้ทำให้รูปแบบการจัดตั้งรัฐใหม่ในขณะนั้นเป็นไปตามแบบฉบับของอินเดียเป็นจำนวนมาก เช่น อาณาจักรจัมปา อาณาจักรฟูนัน (กัมพูชาในปัจจุบัน) อาณาจักรศรีเกษตร หลักการสำคัญในการนี้ที่พิจารณาว่าไทยได้รับเอาวัฒนธรรมของอินเดียเข้ามาก็คือ ประเพณีของการทำพิธีสังเวยเทพเจ้ามักจะทำบนภูเขาสูง ๆ และมีความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าประจำชาติที่สัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับระบบกษัตริย์ 2.2.2 วัฒนธรรมจีน ด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ชี้ให้เห็นว่ามหาอำนาจทางตะวันออกคือจีนและอินเดียเท่านั้น มีอิทธิพลต่อประเทศอื่นๆ ข้างเคียงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่ก็ปรากฏในเวลาต่อมาว่ากลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับเอาอารยธรรมของอินเดียไว้เป็นส่วนใหญ่ ดูเหมือนว่าวัฒนธรรมของจีนได้ทำการแพร่หลายอยู่เพียง 2 เรื่องสำคัญคือ วัฒนธรรมทางด้านการค้ากับด้านการทูตเท่านั้นทั้งนี้เนื่องจากนโยบายของจีนที่ตั้งอยู่บนฐานความเชื่อของลัทธิขงจื้อที่ไม่สนับสนุนให้คนจีนออกไปแสวงหาผลประโยชน์นอกประเทศแล้วละทิ้งดินแดนของบรรพบุรุษ ผลสืบเนื่องจากความเชื่อดังกล่าวได้ทำให้จีนตั้งตนเป็นใหญ่ โดยตั้งเงื่อนไขไว้ว่าประเทศใดก็ตามที่ต้องการจะให้จีนยอมรับนั้นจะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการไปยังจักรพรรดิของจีน 3 ปีต่อ 1 ครั้ง ฯลฯ เป็นต้น มิฉะนั้นจีนจะไม่ยอมรับและจะไม่ทำการค้าขายด้วย เพราะจีนเป็นประเทศที่มีอำนาจในการต่อรองทางด้านการค้าสูง จีนเป็นศูนย์กลางทางด้านการค้า จีนจึงมีสินค้าที่ประเทศต่าง ๆ ต้องการมาก ได้แก่ เครื่องปั้นดินเผา ผ้าไหม ดังนั้นประเทศต่างๆจึงยอมจำนนต่ออำนาจของจีนเพื่อความสะดวกในการค้ามากกว่าความจงรักภักดีต่อจีนโดยแท้ ดั้งนั้นเมื่อมีนโยบายที่แสดงอำนาจทางการเมืองและการค้ามากกว่าที่จะเผยแพร่วัฒนธรรมด้านอื่น ๆ ก็สามารถกล่าวได้ว่ากลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งหมายถึงประเทศไทยด้วยนั้น ได้รับเอาวัฒนธรรมของจีนไว้น้อยมาก หรือเกือบจะไม่มีเลยเมื่อเปรียบเทียบกับอินเดีย ยกเว้นเวียดนาม เพราะจีนปกครองเวียดนามในฐานะที่เป็นประเทศราชและได้ใช้นโยบายกลืนชาติแต่ในส่วนของอาณาจักรอื่น ๆ นั้นได้มีความสัมพันธ์กันในฐานะที่เป็นรัฐบรรณาการเท่านั้น 2.2.3 วัฒนธรรมอิสลาม ศาสตราจารย์มัศอูด อัลฮัซซัน ได้กล่าวถึงการเข้ามาของศาสนาอิสลามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในหนังสือ History of Islam ไว้ดังนี้ [7]หมู่เกาะต่าง ๆ ทางทะเลใต้ ซึ่งรวมกันอยู่ในอาณาบริเวณที่เรียกกันว่า "มาลัยทวีป" มาตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ 12 อันได้แก่ เกาะสุมาตรา เกาะชวา เกาะบาหลี เกาะบอร์เนียว เกาะสุลาเลวี หรือเกาะะเซเลเบส เกาะมะละกา และเกาะนิวกีนีในบริเวณนั้นทั้งหมด เดิมเคยได้รับอารยธรรมแห่งศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพุทธสำนักคิดมหายาน จากอินเดียมาตั้งแต่ต้นพุทธศตวรรษที่ 12 จนกระทั่งถึงพุทธศตวรรษที่ 19 ความเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมทางศาสนาของบริเวณนี้ได้เกิดขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 14 เมื่อพ่อค้าอาหรับได้นำเรือสินค้าลำแรกของชนชาติอาหรับมาติดต่อทำการค้าขายและเผยแพร่ศาสนาอิสลามเป็นครั้งแรก ทางเกาะสุมาตราเหนือ เมื่อพ.ศ.1389 โดยแวะจอดเรือขึ้นบกที่เมืองท่า "อาเจ๊ะ" (บันดาอาเจ๊ะ) แล้วตั้งศูนย์การค้า และศูนย์เผยแพร่ศาสนาอิสลามขึ้น ณ ที่เกาะสุมาตราเหนือนี้เป็นครั้งแรก เซอร์ริชาร์ดวินสเตดท์ ได้เล่าว่า เมื่อครั้งที่มาร์โคโปโล ชาวเมือวเวนิส เดินทางจากอิตาลีไปค้าขายถึงเมืองจีน (The Journey of Marco Polo 1252 - 1323 AD.) ตอนขากลับเขาได้แล่นเรือผ่านมาทางแหลมมลายู และได้แวะที่เกาะสุมาตรา เมื่อปี หพ.ศ.1835 เขาได้พบพ่อค้าชาวอาหรับ และได้จัดสอนศาสนาอิสลามขึ้นที่เมืองเปอร์ลัก (Perlak) ซึ่งเป็นเมืองท่าเล็ก ๆ อยู่ทางริมเกาะสุมาตราตอนเหนือ และอยู่ใกล้เคียงกันกับเมืองสมุทระ (Samudra) และเมืองปาซี หรือปาไซ (Pasai) ซึ่งขณะนั้นเจ้าเมืองนับถือศาสนาอิสลามอยู่แล้ว โดยมีครูสอนศาสนาอิสลามชื่อ "มาลิกอัล-ซอและหฺ" ทำการสอนศาสนาอิสลามให้แก่เจ้าเมือง และครอบครัวของเจ้าเมืองปาลัส จนกระทั่งปรากฏว่าธิดาคนหนึ่งเจ้าของเมืองเปอร์ลัก บังเกิดความศรัทธาอย่างแรกล้า ถึงกับสมรสกับ โต๊ะครูมาลิก อัลซอและห์ ในปี พ.ศ.1840 ปรากฏว่า สุลต่านมุสลิมองค์แรกของเมือปาไซได้วายชนม์ลงก็ได้มีพิธีฝังศพตามพิธีการทางศาสนาอิสลามขึ้นเป็นครั้งแรก และมีหลักศิลาจารึกด้วยอักษรอาหรับปักไว้บนหลุมศพของท่านสุลต่าน หลักศิลาจารึกบนหลุมศพทำนองเดียวกันนี้ ได้มีการขุดพบเป็นครั้งแรกที่เมืองตรังกานู บนแหลมมลายู แจ้งการตายของบุคคลภายหลังสุลต่านเมืองปาไซเพียง 20 ปี แสดงว่า ศาสนาอิสลามได้แผ่ขยายเข้ามาสู่มลายูในตอนกลางพุทธศตวรรษที่ 19 ซึ่งนับว่าเป็นการแผ่ขยายที่รวดเร็วมาก หลังจากการเริ่มต้นเผยแพร่ศาสนาอิสลามของพ่อค้าชาวอาหรับที่เกาะสุมาตราเหนือมาได้ไม่นานนัก อย่างไรก็ดี นักเผยแพร่ศาสนาอิสลามคนสำคัญที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลจากทะเลอาเรเบีย ผ่านมหาสมุทรอินเดีย และทะเลอันดามันตอนใต้ มาจนถึงปลายแหลมสุดทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะสุมาตรา เมื่อ ปี พ.ศ.1847-1921 คือ อิบนีบาตูเตาะห์ ชาวมอรอคโค เชื้อสายอาหรับท่านผู้นี้ได้ตั้งศูนย์การเผยแพร่ศาสนาอิสลามสำนักคิดสุนนีขึ้นทางเกาะสุมาตราภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้ ราชา ซอและห์ ผู้มีอำนาจอิทธิพลอยู่ในแคว้นสุมาตราตะวันออกเฉียงเหนือ ให้ยอมมรับนับถือศาสนาอิสลามให้จงได้ เข้าใจว่าพระราชาองค์นี้เดิมคงจะไม่ได้มีพระนามว่า "ราชาซอและห์" คงจะมาใช้ชื่อนี้เมื่อเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามแล้ว เพราะพระนาม "ซอและห์" นั้นเป็นชื่อภาษาอาหรับ และเป็นชื่อในทางศาสนาอิสลาม ท่านอิบนิ บาตูเตาะห์ ใช้วิธีการสอนศาสนาอิสลามแก่พระราชาในแบบเดียวกันกับที่ท่านยะฟัร อิบนิ อะบูตอเล็บ ลูกผู้น้องของพระศาสดา มุฮัมมัด ได้เคยทุลอธิบายแก่กษัตริย์เนกุส แห่งเอธิโอเปีย (อบิสิเนีย) ผู้นับถือศาสนาคริสต์อยู่ก่อนแล้ว เมื่อคราวที่พระศาสดามุฮัมมัด สั่งให้ท่านยะฟัร อิบนิอะบูตอเล็บ นำพรรคพวก 1 คน หลบหนีพวกต่อต้านศาสนาอิสลามจากนครมักกะห์หลยไปอาศัยอยู่ในเอธิโอเปียเสียก่อนเมื่อ พ.ศ.1165 ท่านยะฟัร อิบนิอาบูตอเล็บ กราบทูลกษัตริย์เอธิโอเปียด้วยประโยคที่ว่า " ข้าแต่พระมหากษัตริย์ผู้จำเริญ พวกข้าพเจ้าเคยเป็นพวกงมงาย พวกข้าพเจ้าเคยสักการะเจว็ด กินซากสัตว์แลเคยประกอบกรรมอันน่าบัดสีนานา....." เป็นที่ทราบกันดีในระหว่างผู้สนใจศึกษาทั้งหลายว่า พระคัมภีร์อัลกรุอานนั้นมีบทบัญญัติต่าง ๆ พร้อมสรรพทั้งทางโลกทางธรรม มีทั้งหลักวิชาเศรษฐศาสตร์, นิติศาสตร์, วิทยาศาสตร์, ปรัชญา, การเมือง, การสังคม, การอาชีพ, การค้าขาย, การแพทย์, การเป็นหนี้สิน, การบริโภคอาหารการสมรส, การหย่าร้าง,การครองเรือน, การแบ่งมรดก, การศึกษา, การฑูต, การสงคราม, และกิจวัตรประจำวันของบุคคลแต่ละคนในระดับแห่งการพัฒนาการของสังคมทุกยุคทุกสมัย ด้วยเหตุนี้เมื่อราชาซอและห์ เกิดความเสื่อมใสศรัทธาในศาสนาอิสลามแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงช่วยเผยแพร่ศาสนาอิสลาม ไปในหมู่พสกนิกรของพระองค์โดยไม่ชักช้า พร้อมกันนั้นก็ได้จัดระบบ เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง การสังคม การสมรส การครองเรือน การแบ่งมรดก และกิจการอื่น ๆ ตามพระบัญญัติแห่งพระคัมภีร์อัล-กรุอาน อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ทำให้อาณาจักรของพระองค์กลายเป็นรัฐสุลต่านที่เข้มแข็งมากพร้อมกันนั้นพระราชาธิบดีเองก็ได้ เปลี่ยนสภาพจาก "ราชาซอและห์" มาเป็น "สุลต่านซอและห์" ที่เข้มแข็งและเฉียบขาด และมีนโยบายแข็งกร้าวต่อประชากรของพระองค์ที่ยังหลงไหลบูชาเทวรูป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แลเจว็ดทั้งปวง ในเมื่อท่านสุลต่านซอและห์ ได้เปลี่ยนความศรัทธาจากศาสนาเดิม ซึ่งเข้าใจว่าคงเป็นศาสนาพราหมณ์ฮินดู หรือไม่ก็เป็นศาสนาพุทธสำนักคิดมหายาน มาเป็นศาสนาอิสลามสำนักคิดสุนนี และพระองค์ทรงเป็นมุสลิมที่เคร่งครัดอย่างยิ่ง ท่านสุลต่านได้ยอมเสียเวลาและสละทรัพย์สินเป็นอันมาก เพื่อการทนุบำรุง และเผยแพร่ศาสนาอิสลาม พระองค์ได้ทรงดำเนินการเผยแพร่ไม่เพียงแต่ในอาณาจักรของพระองค์เท่านั้น แต่ยังได้จัดคณะผู้เผยแพร่ออกไปยังหมู่เกาะต่าง ๆ ทางภาคทะเลตะวันออก ของเกาะสุมาตราอีกด้วย ทำให้ศาสนาอิสลามสำนักคิดสุนนีซึ่งเป็นศาสนาใหม่ได้เข้าไปสู่มาลายู และภาคใต้ของสุวรรณภูมิจนได้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น การขยายตัวของศาสนาอิสลามตามนครรัฐต่าง ๆ ทางเกาะสุมาตรา แหลมมลายู และตามหมู่เกาะต่าง ๆ ในทะเลใต้เป็นไปในรูปที่ว่า เมื่อนครรัฐได้กลายเป็นรัฐอิสลามไปแล้วนครรัฐเหล่านั้น ก็พยายามเผยแพร่ศาสนาอิสลามเข้าไปสู่ประชาชนในรัฐใกล้เคียงพร้อมกันนั้นก็ได้พยายามเผยแพร่ชักจูงแนะนำ ตลอดจนใช้อิทธิพลทางการเมือง ประกอบเข้าไปด้วย จึงทำให้รัฐใกล้เคียงกลายเป็นรัฐอิสลามไปด้วย การขยายตัวของศาสนาอิสลามในระยะนี้ ได้แผ่ขยายขึ้นมาจากตอนเหนือมลายู เข้ามาสู่ตอนใต้ของประเทศไทยและปรากฏหลักฐานว่า เจ้าผู้ครองนครทางภาคใต้ของประเทศไทยในระยะนั้น จนถึงเมืองนครศรีธรรมราช ปรากฏว่าเป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามทั้งสิ้น ซึ่งเป็นระยะเวลาเกือบ 700 ปีมาแล้ว ประกอบกับทางกรุงสุโขทัยก็ปรากฏหลักฐานการค้าขายกับประเทศกลุ่มอาหรับอิหร่าน มีหลักฐานภาษาอิหร่านอยู่ในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง ส่วนประเทศอิหร่านก็ปรากฏมีถ้วยชามสังคโลกสมัยกรุงสุโขทัยปรากฏอยู่มากมาย จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และวัตถุพยานมากมาย เป็นเครื่องชี้ชัดว่าคำกล่าวของท่านอาจารย์ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า "สำหรับศาสนาอิสลาม หรือคนที่นับถือศาสนาอิสลามนั้น น่าจะมีอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าประเทศไทยนี้ ตั้งแต่เริ่มประวัติศาสตร์ของชาติไทย เพราะว่าศาสนาอิสลามได้เผยแพร่เข้ามาถึงอินโดนีเซียและในแหลมมลายูนั้น ก่อนที่คนอีกเผ่าหนึ่งจะได้เคลื่อนมาจากยูนานได้....." นับว่าในดินแดนสุวรรณภูมินี้ มีคนพื้นเมืองเดิมซึ่งนับถือศาสนาอิสลามได้อยู่มาก่อนแล้วนั่นเอง ดังนั้นการที่ใครจะมาพูดว่า มุสลิมเป็นผู้เข้ามาอยู่อาศัยในแผ่นดินไทย โดยมิใช่เจ้าของแผ่นดินมาแต่เดิมนั้นย่อมเป็นคำพูดที่ไม่ตรงต่อความจริง ศาสนาอิสลามจากอินเดียใต้เข้ามาสู่มาเลย์เซีย ภาคใต้ของประเทศไทย สุมาตรา ชวา บอร์เนียว แบบพิธีของศาสนาอิสลามในส่วนนี้ของโลกเป็นแบบอินโด-เปอร์เซียน เช่นเดียวกันในอินเดียและเปอร์เซีย ซึ่งต่างกับอิสลามในอารเบีย ประมาณกันว่าในคริสต์ศตวรรษที่ 9 อิสลามได้มาถึงฝั่งมะละกาเมื่อมาโคโปโลเดินทางเรือผ่านชวานั้น เขาได้เขียนเล่าว่า ผู้คนตามเมืองท่าในชวานั้นเป็นมุสลิมทั้งสิ้น และเมื่อ ค.ศ.1346 (พ.ศ.1883) ชาวมอรอคโค ชื่อ อิปน์ บาตูเตาะห์ ได้เดินทางระหว่างจีนกับอินเดียมาทางเกาะสุมาตรานั้นได้รายงานว่าคนแถบนี้เป็นชาวมุสลิม บันทึกของชาวจีนในปี ค.ศ.1406 (พ.ศ.1949) ก็ได้กล่าวว่า ชวา มาเลย์เซีย สุมาตรา เป็นอิสลาม มีหลักฐานอีกว่า มีมิชชั่นนารีจากดินแดนฮาดราเมาท์ (Hadramaut) ตอนใต้ของอาราเบียมาสู่ชวาชื่อ เมาลานา มาลิก อิบรอฮีม และมิชชั่นนารีคนนี้ได้ถึงแก่กรรมในปี ค.ศ.1419 (พ.ศ.1962) ที่เมืองกรีเสค (Grisek) ทางเหนือของสุราบายาในชวา ซึ่งมีหลุมผังศพเป็นอนุสรณ์ยังคงอยู่จนปัจจุบันนี้ 2.2. 4 วัฒนธรรมตะวันตก วัฒนธรรมของตะวันตกที่เข้ามาสู่ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 24 ถึงปัจจุบันนั้น[8] กล่าวได้ว่าเป็นวัฒนธรรมที่มีผลในการกำหนดลักษณะพื้นฐานของวัฒนธรรมในปัจจุบันและอนาคตมากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าวัฒนธรรมทางตะวันออกที่เข้ามาในยุคปลายของกรุงสุโขทัยกับยุคต้นของกรุงศรีอยุธยา ทั้งนี้เพราะปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ผลักดันให้มหาอำนาจตะวันตกได้ออกแสวงหาอาณานิคมในต่างแดนคือ ความสำเร็จในการปฏิวัติอุตสาหกรรม คริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งได้ยังผลให้ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายตกอยู่ในสถานภาพเดียวกันคือ 1)เป็นแหล่งวัตถุดิบเพื่อนำไปป้อนโรงงานอุตสาหกรรมในเมืองแม่ และ 2) เป็นแหล่งระบายขายสินค้าสำเร็จรูปของเมืองแม่ ท่ามกลางความเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการค้าของเมืองแม่ดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนต่าง ๆ ของวัฒนธรรมควบคู่กันไปด้วยเพื่อให้วัตถุประสงค์หลักคือ การค้าขายได้รับการตอบสนอง วัฒนธรรมของต่างชาติที่เข้ามาในยุคนั้น บางส่วนก็ได้เป็นตัวกำหนดลักษณะพื้นฐานของวัฒนธรรมให้ปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เช่น กรรมวิธีในการผลิตพลังทางการผลิต การใช้เงินตราเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน โครงสร้างและการกำหนดชนชั้นทางสังคม ค่านิยมบางประการ ฯลฯ การเข้ามาของอารยธรรมตะวันตกที่มีส่วนในการกำหนดลักษณะพื้นฐานของวัฒนธรรมไทยและตะวันออกเฉียงใต้ในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบันนั้น ได้เริ่มต้นเข้ามาตั้งแต่รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นระยะเวลาที่บ้านเมืองว่างเว้นจากศึกสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำสงครามพม่าได้สิ้นสุดลง อาณาจักรไทยได้ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง ประจวบกับเป็นช่วงเวลาที่อารยธรรมตะวันตกเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ประเทศที่มีบทบาทสูงในการแผ่อิทธิพลในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ในขณะนั้น ได้แก่ อังกฤษกับฝรั่งเศสเข้ามามี บทบาทของสองมหาอำนาจดังกล่าว ได้มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงและการกำหนดวัฒนธรรมขึ้นบางส่วนในสังคมไทยและตะวันออกเฉียงใต้ใน หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ได้ยังผลให้การเมืองระหว่างประเทศถูกแบ่งออกเป็น 2 ขั้วคือ กลุ่มประชาธิปไตยที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ กับกลุ่มสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ที่มีสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำ ทั้งสองฝ่ายเกิดความขัดแย้งเกี่ยวกับอุดมการณ์ทางการเมืองและได้ก่อให้เกิดการสู้รบแบบใหม่ขึ้นที่เรียกว่าสงครามเย็น (Cold War) ผลจากการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 ของไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นการสนับสนุนความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับวัฒนธรรมชาติตะวันตกโดยยึดรูปแบบของสหรัฐอเมริกา และประเทศในยุโรปเป็นมาตรฐานของความเจริญทางวัฒนธรรมทุก ๆ ด้าน การพัฒนาประเทศในทุกๆ ด้านเป็นการพึ่งพาแนวความคิดของชาติตะวันตก อิทธิพลของชาติตะวันตกได้หลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทยและตะวันออกเฉียงใต้ในอย่างรวดเร็ว บทที่ 3 วิถีมุสลิม 3.1 อิสลามกับวัฒนธรม อิสลามเป็นคำภาษาอาหรับ แปลว่า การมอบ การยอมจำนน การยอมแพ้ และการยอมตาม สำหรับความหมายศัพท์ทางวิชาการ ได้ให้ความหมายของอิสลามไว้ว่า "อิสลามคือการยอมจำนนต่ออัลลอฮ (ซุบหานะฮูวตะอาลา) ในคำสั่งใช้และคำสั่งห้าม ผู้ใดที่ยอมจำนนทั้งกาย วาจา และใจในทุกๆ สิ่งต่ออัลลอฮ (ซุบหานะฮูวตะอาลา) เขาผู้นั้นคือ มุสลิม ผู้ที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อเอกองค์อัลลอฮ (ซุบหานะฮูวตะอาลา)" ดังที่พระองค์ได้เคยตรัสแก่นบีอิบริฮีม (อะลัยฮิสลาม) ความว่า "เมื่อครั้งที่ผู้อภิบาลของเรา (อิบรอฮีม) ได้ตรัสแก่เขาว่า เจ้าจงเป็นมุสลิมผู้สวามิภักดิ์เถิด เขาก็ตอบว่า ข้าพเจ้าได้เป็นมุสลิมผู้สวามิภักดิ์ต่อผู้อภิบาล" (อัลบากอเราะฮฺ : 131) สำหรับสิ่งที่อิสลามถือว่าสำคัญที่สุดเป็นอันดับแรกและเป็นรากฐานคือ หลักการศรัทธาในพจนานุกรมอาหรับ ได้ให้ความหมายของการศรัทธาไว้ว่า "ศรัทธาแปลว่า เชื่อ ดังที่อัลลอฮ (ซุบหานะฮูวตะอาลา)" ได้ตรัสในอัลกุรอานความว่า "และท่านยังไม่ได้เป็นผู้ศรัทธา (ชื่อ) ต่อเรา" (ยูซุฟ:17) ท่านอิหม่ามอบูฮะนีฟะห์ (ฮ.ศ. 80 - 150) ได้ให้ความหมายของการศรัทธาในหนังสือ al-Fiqh al-Akbar ของท่าน อาลี อัลกอรี ไว้ว่า "การศรัทธานั้นจะต้องประกอบด้วยการยอมรับและการเชื่อ คือการยอมรับด้วยวาจา และเชื่อด้วยจิตใจ ซึ่งจะต้องอยู่คู่กันขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดมิได้" ท่านเมาดูดีย์ มีทัศนะว่า ความศรัทธาจะต้องเกิดมาจากความรู้ก่อน "ศรัทธาถ้าจะแปลตามตัวอักษรแล้ว แปลว่า รู้ เชื่อ และเชื่อถือโดยไม่มีข้อสงสัย ดังนั้นศรัทธา คือ ความเชื่อที่เกิดขึ้นจากความรู้และความเชื่อถือ ผู้ซึ่งเชื่อถือในเอกภาพของอัลลอฮ เชื่อถือในคุณลักษณะของพระองค์ เชื่อถือในบทบัญญัติของพระองค์ กฎการให้รางวัลและลงโทษของพระองค์แล้วก็จะได้รับขนานนามว่า ผู้ศรัทธา" หลักศรัทธาถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในอิสลาม ผู้ใดปฏิเสธหลักศรัทธาการงานของเขาจะไม่ถูกตอบรับจากอัลลอฮ ในที่สุดเขาจะเป็นผู้ที่ขาดทุนในวันอาคีเราะห์ (โลกหน้า) ดังที่อัลลอฮตรัสไว้ในอัลกุรอาน ความว่า "และผู้ใดปฏิเสธการศรัทธาดังนั้นการงานของเขาก็ไร้ผลอย่างแน่นอน และเขาจะเป็นผู้หนึ่งในบรรดาผู้ที่ขาดทุนในวันอาคีเราะห์" (อัลมาอิดะฮฺ: 5) สำหรับผู้นับถือศาสนาอิสลามจะเรียกว่ามุสลิม การจะเป็นมุสลิมที่ศรัทธาและถูกยอมรับจากพระเจ้าและสังคมมุสลิมนั้น ผู้นั้นจะพร้อมที่จะยอมจำนนต่อพระเจ้าที่มีพระนามว่าอัลลอฮ (ซุบหานะฮูวตะอาลา) ในคำสั่งใช้และคำสั่งห้าม ผู้ใดที่

Recent posts