Back

จดหมายชาตินิยมเหมืองทอง

จดหมายชาตินิยมเหมืองทอง

16 May 2016

1356

เลิศศักดิ์คำคงศักดิ์ ๑๔พฤษภาคม๒๕๕๙   นับว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายอย่างยิ่งที่รัฐบาลเผด็จการทหารคสช. มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่๑๐พฤษภาคม๒๕๕๙สั่งให้หยุดดำเนินกิจการเหมืองแร่ทองคำของบริษัทอัครารีซอร์สเซสจำกัด (มหาชน)  บริเวณรอยต่อ๓จังหวัดพิจิตรเพชรบูรณ์และพิษณุโลกในสิ้นปีนี้และให้ยุติการอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำและประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำรวมถึงคำขอต่ออายุประทานบัตรในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่อื่นๆของประเทศด้วยสร้างความฮือฮาตื่นตกใจให้กับทั้งฝ่ายผู้ประกอบการเหมืองและฝ่ายคัดค้านการทำเหมือง   เนื้อหาของมติคณะรัฐมนตรีที่ปรากฎอยู่ในเอกสารข่าวของกระทรวงอุตสาหกรรมและหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีด่วนที่สุดที่นร๐๕๐๕/๑๖๘๘๕ลงวันที่๑๒พฤษภาคม๒๕๕๙สอดรับกันโดยแบ่งเป็นข้อๆดังนี้ ๑. ยุติการอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำและประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำรวมถึงคำขอต่ออายุประทานบัตรด้วย ๒. ในกรณีของบริษัทอัคราฯเพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของพนักงานและเพื่อเตรียมการเลิกประกอบกิจการจึงเห็นควรให้ต่ออายุใบอนุญาตประกอบโลหกรรมไปจนถึงสิ้นปี๒๕๕๙เพื่อให้สามารถนำแร่ที่เหลืออยู่ไปใช้ประโยชน์ได้พร้อมทั้งให้บริษัทอัคราฯเร่งดำเนินการปิดเหมืองและฟื้นฟูพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมืองให้เป็นไปตามเงื่อนไขการอนุญาต ๓. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลประชาชนและบรรเทาปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังสิ้นสุดการประกอบกิจการเหมืองแร่และโลหกรรมของบริษัทอัคราฯโดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำกับดูแลการปิดเหมืองและฟื้นฟูพื้นที่กระทรวงสาธารณสุขดูแลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่องและกระทรวงแรงงานดูแลพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการปิดกิจการ   ส่วนเอกสารข่าวของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ได้ขยายความเข้าใจต่อผลที่จะเกิดขึ้นจากมติครม. ดังกล่าวในส่วนของพื้นที่อื่นๆดังนี้ ๑. ยุติการอนุญาตอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำซึ่งปัจจุบันมีคำขออาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำจาก๑๒บริษัทครอบคลุมพื้นที่๑๐จังหวัดได้แก่เพชรบูรณ์พิจิตรจันทบุรีระยองพิษณุโลกลพบุรีสระบุรีสระแก้วนครสวรรค์และสตูลจำนวน๑๗๗แปลงพื้นที่ประมาณ๑,๕๓๙,๖๔๔ไร่ ๒. ยุติการอนุญาตประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำซึ่งปัจจุบันมีคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำเพียงบริษัทเดียวคือบริษัททุ่งคำจำกัดที่จังหวัดเลยจำนวน๑๐๗แปลงพื้นที่ประมาณ๒๘,๗๘๐ไร่ ๓. ยุติการอนุญาตคำขอต่ออายุประทานบัตรซึ่งปัจจุบันมีคำขอต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำเพียงบริษัทเดียวคือบริษัทอัครารีซอร์สเซสจำกัด (มหาชน)  ที่จังหวัดเพชรบูรณ์จำนน๑แปลงพื้นที่๙๓ไร่   ทั้งหมดคือเอกสารที่เกี่ยวกับมติครม. เท่าที่มีอยู่ในตอนนี้โดยเฉพาะหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีด่วนที่สุดที่นร๐๕๐๕/๑๖๘๘๕ลงวันที่๑๒พฤษภาคม๒๕๕๙ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนังสือแจ้งมติครม. อย่างเป็นทางการแล้วก็ตามแต่ยังขาดเอกสารที่เกี่ยวข้องสองชิ้นที่ทำให้หนังสือแจ้งมติครม. อย่างเป็นทางการยังไม่สมบูรณ์คือเอกสารรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการแก้ปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองแร่ของบริษัทอัครารีซอร์สเซสจำกัด (มหาชน) ของกระทรวงอุตสาหกรรมและเอกสารมติการประชุมเมื่อวันที่๒๙เมษายน๒๕๕๙ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและตัวแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งจะต้องเอามาดูประกอบว่ารายละเอียดที่ครม. มีมติรับทราบตามเอกสารสองชิ้นนั้นมีเนื้อหาลงรายละเอียดอย่างไรบ้าง   แต่ด้วยกระแสข่าวและความคิดเห็นต่างๆในโลกของการสื่อสารออนไลน์ที่พากันชื่นชมการตัดสินใจของรัฐบาลในครั้งนี้มีแนวทางที่ผิดเพี้ยนและไม่ถูกต้องพอสมควรอาทิเช่นการขุดคุ้ยว่าเหมืองทองแห่งนี้‘เปิดโดยรัฐบาลทักษิณปิดโดยรัฐบาลประยุทธ์’  เพื่อที่จะเปรียบเทียบเยินยอตอกย้ำและผลิตความคิดให้แก่สังคมว่ารัฐบาลเผด็จการทหารที่ได้อำนาจมาจากการรัฐประหารดีกว่าและมีคุณธรรมกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยที่ได้อำนาจมาจากการเลือกตั้งด้วยการเอาภาพแผ่นป้ายหินสีดำบนตัวหนังสือสีทองที่จารึกชื่อของทักษิณชินวัตรในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดเหมืองทองคำในวันที่๑๒ธันวาคม๒๕๔๔ที่ติดอยู่บนก้อนหินในเขตเหมืองแร่ทองคำของบริษัทอัคราฯมาแสดงอยู่ในช่องทางสื่อสารออนไลน์ต่างๆนั้นเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ที่ไม่ครบถ้วนและถูกต้อง   ในผนังห้องประชุมเล็กๆที่ใช้สำหรับต้อนรับแขกเหรื่อที่มาดูงานกิจการเหมืองทองคำของอัคราฯที่สำนักงานในเขตเหมืองแร่นั้นมีภาพๆหนึ่งเป็นก้อนทองคำขนาดใหญ่ที่ระบุว่าได้มอบให้แก่นายทหารคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้นำการรัฐประหารเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๓๔น่าเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปออกมาจึงจำไม่ได้ว่านายทหารคนนั้นชื่อนามสกุลว่าอะไร   เหตุการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับช่วงเวลาของการที่รัฐบาลสมัยนั้นมีนโยบายส่งเสริมการให้สัมปทานการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำแก่เอกชนทั้งในและต่างประเทศจึงส่งผลให้มีการให้ประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำสองแห่งในประเทศไทยในเวลาต่อมาคือเหมืองแร่ทองคำชาตรีของบริษัทอัครารีซอร์สเซสจำกัด (มหาชน) ที่ต.เขาเจ็ดลูกอ.ทับคล้อจ.พิจิตรและเหมืองแร่ทองคำภูทับฟ้า-ภูซำป่าบอนของบริษัททุ่งคำจำกัดที่ต.เขาหลวงอ.วังสะพุงจ.เลย   สิ่งที่ควรบันทึกให้ถูกต้องเกี่ยวกับเหมืองทองคำทั้งสองแห่งก็คือมีการทำงานร่วมกันมาหลายรัฐบาลเริ่มตั้งแต่รัฐบาลพลเอกเปรมติณสูลานนท์ในปี๒๕๒๗โดยกรมทรัพยากรธรณี[[1]]ได้ดำเนินการสำรวจแร่ทองคำและพบพื้นที่ศักยภาพของแร่ทองคำ๒บริเวณใหญ่คือบริเวณขอบที่ราบสูงโคราชในท้องที่จังหวัดเลยหนองคายเพชรบูรณ์พิจิตรนครสวรรค์ลพบุรีปราจีนบุรีสระแก้วชลบุรีและระยองและบริเวณท้องที่จังหวัดเชียงรายลำปางแพร่อุตรดิตถ์สุโขทัยและตากส่วนบริเวณอื่นๆที่พบทองคำอยู่ด้วยอาทิบ้านป่าร่อนอำเภอบางสะพานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์บริเวณแหล่งโต๊ะโมะอำเภอสุคิรินจังหวัดนราธิวาสบริเวณบ้านบ่อทองอำเภอบ่อทองจังหวัดชลบุรีและมักพบปะปนอยู่ในลานแร่ดีบุกแถบจังหวัดกาญจนบุรีภูเก็ตและพังงาเป็นต้น   ผลจากการค้นพบศักยภาพของแร่ทองคำดังกล่าวคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลพลเอกเปรมได้มีมติเห็นชอบ‘นโยบายว่าด้วยการสำรวจและพัฒนาแร่ทองคำ’ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมโดยกรมทรัพยากรธรณีเสนอมาเมื่อวันที่๓กุมภาพันธ์๒๕๓๐เพื่อส่งเสริมให้เอกชนเข้ามาลงทุนในการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำได้ใน๒กรณีคือ(๑) ภาครัฐเปิดประมูลพื้นที่เป็นกรณีพิเศษนอกเหนือไปจากบทบัญญัติของกฎหมายแร่โดยใช้การออกมติคณะรัฐมนตรีจากอำนาจฝ่ายบริหารให้กำหนดพื้นที่เพื่อการพัฒนาเหมืองแร่ทองคำเป็นโครงการใหญ่พร้อมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการขอสิทธิสัมปทานโดยทำเป็นสัญญาผูกมัดให้เอกชนได้รับทั้งสิทธิสัมปทานการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำในคราวเดียวกัน(๒) เอกชนขอสิทธิสำรวจโดยตรงด้วยการขออาชญาบัตรพิเศษก่อนต่อเมื่อพบแร่ทองคำในเชิงพาณิชย์จึงค่อยขอสิทธิทำเหมืองแร่โดยขอประทานบัตรในภายหลังเป็นลำดับขั้นตอนตามที่ระบุไว้ในกฎหมายแร่   ผลจากนโยบายฯดังกล่าวในยุครัฐบาลพลเอกเปรมทำให้ประสบความสำเร็จพบแหล่งแร่ทองคำในเชิงพาณิชย์๒แห่งได้แก่ (๑) แหล่งแร่ทองคำที่ภูทับฟ้า-ภูซำป่าบอนต.เขาหลวงอ.วังสะพุงจ.เลยของบริษัททุ่งคำจำกัดในพื้นที่โครงการขนาดใหญ่ที่เปิดประมูล (๒) แหล่งแร่ทองคำในพื้นที่รอยต่อของจังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์ของบริษัทอัครารีซอร์สเซสจำกัดในพื้นที่ที่ส่งเสริมให้เอกชนขออาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่   จึงส่งผลให้บริษัทอัคราฯเปิดดำเนินการทำเหมืองแร่ทองคำและเงินในแหล่งชาตรีเมื่อปี๒๕๔๓ในรัฐบาลชวนหลีกภัยและชาตรีเหนือเมื่อปี๒๕๕๑ในรัฐบาลสมัครสุนทรเวชรวมพื้นที่ทั้ง๒แหล่งประมาณ๕,๔๖๓ไร่   และส่งผลให้บริษัททุ่งคาฮาเบอร์จำกัดและบริษัททุ่งคำจำกัดทำ‘สัญญาว่าด้วยการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำแปลงที่สี่พื้นที่น้ำคิว-ภูขุมทอง’กับรัฐบาลอานันท์ปันยารชุนโดยกรมทรัพยากรธรณีเมื่อวันที่๕พฤศจิกายน๒๕๓๔ซึ่งเป็นสัญญาให้สิทธิผูกขาดในการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่ขนาดใหญ่มากถึง๕๔๕ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ๓๔๐,๖๑๕ไร่ส่งผลให้บริษัททุ่งคำสามารถยื่นขอประทานบัตรจับจองพื้นที่ขนาดใหญ่ได้จำนวน๑๑๒แปลงประมาณ๓๓,๖๐๐ไร่เมื่อปี๒๕๓๘ในรัฐบาลชวนหลีกภัยโดยได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่ทองคำแล้ว๖แปลงบนภูทับฟ้า-ภูซำป่าบอนคือประทานบัตรที่๒๖๙๖๘/๑๕๕๗๔, ๒๖๙๖๙/๑๕๕๗๕, ๒๖๙๗๐/๑๕๕๗๖, ๒๖๙๗๑/๑๕๕๕๘, ๒๖๙๗๒/๑๕๕๕๙และ๒๖๙๗๓/๑๕๕๖๐พื้นที่ประมาณ๑,๒๙๑ไร่ระหว่างปี๒๕๔๕-๒๕๔๖ในรัฐบาลทักษิณชินวัตรซึ่งเป็นเหมืองแร่ที่กำลังดำเนินการและก่อปัญหาผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมอยู่ในขณะนี้   แนวทางที่ผิดเพี้ยนและไม่ถูกต้องอีกเรื่องหนึ่งก็คือจดหมายขอบคุณพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีของศาสตราจารย์ระพีสาคริกเนื้อหาในจดหมายพรรณาถึงบทบาทของตัวเองที่เป็นคนทำจดหมายถึงประยุทธ์ตั้งแต่วันที่๒๙มิถุนายน๒๕๕๗เพื่อขอความช่วยเหลือให้ช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนรอบเหมืองทองอัคราฯชื่นชมการตัดสินใจของพลเอกประยุทธ์และคณะรัฐมนตรีที่ช่วยเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบและรักษาทองคำอันเป็นสมบัติชิ้นสำคัญของชาติไทยไว้ให้ลูกหลานไทยในอนาคตสมกับเป็นผู้นำชายชาติทหารที่ทำงานรับใช้แผ่นดินจนนำมาสู่การมีมติครม. ปิดเหมืองทองเมื่อวันที่๑๐พฤษภาคม๒๕๕๙   จดหมายดังกล่าวถึงแม้ดูเหมือนไม่มีอะไรหรือเป็นประเด็นเล็กนิดเดียวที่อาจไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงแต่ที่ต้องหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงก็เพราะแนวทางที่ผิดเพี้ยนและไม่ถูกต้องเช่นนี้เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งต่อการเขียนประวัติศาสตร์ประชาชนเพื่อบันทึกความทรงจำของผู้คนเอาไว้บอกเล่าให้คนรุ่นต่อจากนี้ได้รับรู้   จดหมายดังกล่าวเป็นการเลือกที่จะจดจำประวัติศาสตร์แบบที่ทำให้ลืมใบหน้าของประชาชนผู้ทุกข์ยากที่เป็นได้แค่‘วัตถุศึกษา’ให้กับผู้มีการศึกษาทั้งหลายที่ได้ทำการเก็บข้อมูลและตัวอย่างสารพิษในร่างกายเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ในบางแง่มุมที่ทำให้ประชาชนที่ต่อสู้คัดค้านกับเหมืองทองแห่งนี้มาไม่ต่ำกว่าสิบปีถูกลืมเลือนไปโดยง่ายเมื่อกาลเวลาผ่านไปเป็นประวัติศาสตร์ในแนวผู้มีบุญญาบารมีบันดาลให้แต่ความเหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดร้าวรานในชีวิตของประชาชนคนเล็กคนน้อยรอบเหมืองไม่มีพื้นที่ให้ถูกบันทึกไว้   จากบทเรียนและประสบการณ์ที่สังเกตเห็นในเส้นทางประวัติศาสตร์ของขบวนประชาชนที่ต่อสู้คัดค้านนโยบายโครงการพัฒนาของรัฐและเอกชนและกฎหมายที่ไม่ชอบธรรมต่างๆมาอย่างยาวนานมักจะพบเห็นการบันทึกประวัติศาสตร์ในแบบที่คล้ายคลึงกับจดหมายของศาสตราจารย์ระพีอยู่เสมอดั่งกรณีตัวอย่างหนึ่งในพื้นที่ภาคอีสานย้อนกลับไปยังปี๒๕๓๔ที่ขบวนประชาชนคนทุกข์คนยากในแผ่นดินอีสานต้องรวมตัวกันต่อสู้กับอำนาจรัฐบาลทหารในยุครสช. หรือคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติต้องเดินเท้าทางไกลจนมาสิ้นสุดที่อ.ปากช่องจ.นครราชสีมาเพื่อกดดันให้รัฐบาลลงมาเจรจาแก้ไขปัญหาการขับไล่ชาวบ้านออกไปจากผืนดินทำกินตามโครงการคจก. หรือ‘โครงการจัดสรรที่ดินทำกินแก่ราษฎรผู้ยากไร้ในพื้นที่ป่าสงวนเสื่อมโทรม’กลุ่มคนเล็กๆกลุ่มหนึ่งที่อยู่ส่วนบนของขบวนประชาชนในกรุงเทพฯเลือกที่จะจดจำและบอกเล่าการต่อสู้ของชาวบ้านกับโครงการคจก. ว่าเป็นเพราะบทบาทของพวกเขาในการติดต่อประสานงานและเจรจาล็อบบี้กับคนในรัฐบาลจึงทำให้รัฐบาลอานันท์ปันยารชุนตัดสินใจยกเลิกโครงการคจก.   พวกเขาเลือกที่จะจดจำและบอกเล่าเรื่องราวด้านของพวกเขาให้สาธารณชนฟัง   แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่พูดถึงหยาดเหงื่อแม้สักหยดเดียวท่ามกลางสองเท้าที่ก้าวย่างบนพื้นถนนที่เปลวแดดร้อนระยับที่ขบวนชาวบ้านนับพันชีวิตต้องเดินฝ่าไอระอุด้วยจิตใจที่ร้อนรุ่มจากอารมณ์ความรู้สึกของการจากบ้านมาไกลเพื่อเรียกร้องให้มีที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินผืนเล็กๆ   การกระทำแบบนี้มันส่งผลให้ไม่มีความภูมิใจอย่างเต็มภาคภูมิในขบวนประชาชนแม้สักครั้งในประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพราะพวกที่อยู่ส่วนบนของขบวนประชาชนมักจะตัดตอนด้วยการจารึกบทบาทนำของพวกเขาอยู่เสมอ   โดยปล่อยให้ชาวบ้านยอมรับและศรัทธาในแนวทางความเชื่อที่ว่าเหตุที่เหมืองทองล้มไปได้ไม่ได้เกิดมาจากความเหนื่อยยากที่เกิดจากชีวิตและร่างกายของตนที่ต้องดิ้นรนหาเงินกู้หนี้ยืมสินเพื่อหาค่ารถเดินทางเข้ากรุงเทพฯเพื่อยื่นหนังสือร้องเรียนหลายร้อยฉบับแต่เกิดจากเทวดาฟ้าดินหรือบทบาทนำของพวกที่อยู่ส่วนบนของขบวนประชาชนดลบันดาลให้   อีกด้านหนึ่งมันเป็นจดหมายที่ลดทอนความรู้และข้อมูลทางวิชาการที่ใช้เวลาเกือบสองปีจนตรวจพบสารพิษและสารโลหะหนักต่างๆมากมายที่ปนเปื้อนค่อนข้างสูงทั้งในร่างกายมนุษย์และสภาพแวดล้อมและมีความเชื่อมสัมพันธ์กันในห่วงโซ่อาหารจนนำมาสู่การตัดสินใจทางการเมืองโดยมติครม.ดังกล่าวโดยมุ่งเน้นเฉพาะอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองของคสช. เป็นหลักที่สามารถทำให้ปิดเหมืองทองได้แต่ละเลยที่จะพูดถึงข้อเท็จจริงที่ได้จากการตรวจพิสูจน์ของบุคคลากรหลายภาคส่วนที่ร่วมมือกันทำความจริงให้ปรากฎรวมทั้งตัวชาวบ้านเองที่เป็น‘วัตถุศึกษา’ ให้กับใครต่อใครทั้งที่เป็นหน่วยงานวิชาการของภาครัฐและสถาบันวิชาการหลากหลายองค์กรที่ร่วมมือกัน   เป็นเรื่องน่าสนใจตรงที่การจารึกประวัติศาสตร์นั้นมีกระบวนการขั้นตอนในขั้นตอนเริ่มต้นพวกที่อยู่ส่วนบนของขบวนประชาชนยอมให้กับใครๆก็ตามในหมู่ของพวกเขาสร้างฉากความโศรกสลดด้วยการเอาชีวิตผู้คนรอบเหมืองที่เจ็บป่วยกำลังจะตายและคนที่ตายชีวิตความเป็นอยู่ที่ทุกข์แสนเข็ญถึงขั้นที่ต้องใช้คูปองจากหน่วยงานรัฐในจังหวัดมาใช้ซื้อผักและอาหารปลอดสารพิษโลหะหนักผืนดินปลูกอะไรไปก็ไม่งดงามหรือถึงงดงามก็เต็มไปด้วยสารพิษและโลหะหนักที่เกิดขึ้นจากการทำเหมืองรวมทั้งสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมชวนสลดหดหู่มาฉายให้สาธารณชนได้เห็นเพื่อเรียกน้ำตาและความเห็นอกเห็นใจต่อสังคม   แต่พอจะจารึกประวัติศาสตร์กลับหลงลืมพวกเขาเหล่านี้ไปแล้วเลือกที่จะจารึกมันด้วยการชูหางตนเองว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการประสานงานกับผู้มีอำนาจของรัฐและเชิดชูผู้นำประเทศที่ได้อำนาจมาจากการยึดอำนาจไปจากประชาชนด้วยการรัฐประหาร   มันให้ภาพที่เห็นได้ชัดว่าพวกที่อยู่ส่วนบนของขบวนประชาชนจะฉวยโอกาสอยู่เสมอและมองตัวเองว่าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเต็มเปี่ยมว่าถ้าไม่ใช่ผลงานตัวเองก็คงไม่มีมติครม.แบบนี้อย่างแน่นอนแม้จะย่างเข้าสู่วัยชราบั้นปลายชีวิตก็ยังไม่หลงลืมที่จะบันทึกประวัติศาสตร์ในส่วนนี้ไว้   ไม่ว่าจะทำไปด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตามแต่มันสะท้อนให้เห็นว่ามันเป็นวิธีคิดที่อยู่ในกมลสันดานที่อาจจะทำไปโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่กระทำมันส่งผลเสียหายต่อประวัติศาสตร์อย่างไรเพราะเมื่อเรามองย้อนกลับมาข้างหลังจากอนาคตเราจะไม่เห็นชีวิตคนเจ็บป่วยรอบเหมืองเลย   มันเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ที่ตอกย้ำการมีอยู่ของพวกที่อยู่ส่วนบนของขบวนประชาชนที่เห็นประชาชนเป็นเพียงแค่‘วัตถุศึกษา’เท่านั้น                                                                     เอกสารแนบ   ๑. เอกสารข่าวกระทรวงอุตสาหกรรม‘กระทรวงอุตสาหกรรมยุติเหมืองแร่ทองคำทั่วประเทศให้เวลาเหมืองอัคราฯถึงสิ้นปี!’  ดาวน์โหลดข้อมูลจากhttp://www.dpim.go.th/dpimnews/article?catid=102&articleid=6859เมื่อวันที่๑๖พฤษภาคม๒๕๕๙   ๒. หนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีด่วนที่สุดที่นร๐๕๐๕/๑๖๘๘๕ลงวันที่๑๒พฤษภาคม๒๕๕๙ดาวโหลดข้อมูลจากหน้าเฟซบุ๊ก‘ภัทราพรตั๊นงาม’  เข้าถึงข้อมูลตามลิ้งก์นี้https://web.facebook.com/photo.php?fbid=1143873148967144&set=pcb.1143873198967139&type=3&theaterเมื่อวันที่๑๖พฤษภาคม๒๕๕๙   ๓. เอกสารข่าวกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่‘กพร. แจงนโยบายยุติสัมปทานเหมืองแร่ทองคำดาวน์โหลดข้อมูลจากhttp://www.dpim.go.th/dpimnews/article?catid=102&articleid=6861เมื่อวันที่๑๖พฤษภาคม๒๕๕๙   ๔. จดหมายศาสตราระพีสาคริกถึงพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่๑๒พฤษภาคม๒๕๕๙ดาวน์โหลดข้อมูลจากhttp://www.matichon.co.th/news/135078เมื่อวันที่๑๖พฤษภาคม๒๕๕๙     [1] ในส่วนที่เกี่ยวกับการอนุมัติ/อนุญาตสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่เปลี่ยนมาอยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม  ในส่วนที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ รักษา สงวน หวงห้าม หรือวิชาการด้านธรณีวิทยาสาขาต่าง ๆ ยังอยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมทรัพยากรธรณีเช่นเดิม แต่ย้ายมาสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  เมื่อครั้งปฏิรูปกระทรวง ทบวง กรม เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๔๕

Recent posts