2 February 2018
3274
หายนะของอำนาจที่เกิดกับผู้ปกครองจนเสื่อมอำนาจนั้น มีไม่กี่อย่าง หนึ่งคือ การใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรมหรือลุแก่อำนาจ สองคือละเลยการใช้อำนาจให้เกิดความเป็นธรรม ผู้ปกครองประเภทเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่ยลยินเสียงเพรียกหาป่าวร้องของประชาชนที่เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า และ สามคือผู้ปกครองที่ไม่รักษาวาจา “ตระบัดสัตย์” เป็นนิจ ดูแคลนประชาชน
รองหัวหน้า รสช. (คณะรักษาความเรียบร้อยแห่งชาติ) เจ้าของอมตะวาจา “เสียสัตย์เพื่อชาติ” เมื่อ 20 กว่าปีก่อนก็พบจุดจบโดยพลัน เพียงเพราะตระบัดสัตย์ จนเกิดเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ ปี 2535” ตระบัดสัตว์โดยการบอกประชาชนว่า จะไม่รับตำแหน่งใดๆ ทางการเมืองหลังยึดอำนาจ แต่แล้ว พลเอกสุจินดา คราประยูร หนึ่งในแกนนำรัฐประหาร สุดท้ายก็รับโดยอ้างว่า เสียสัตย์เพื่อชาติ เป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุราชการน้อยที่สุด ( 7 เมษา 2535 – 24 พฤษภา 2535 )
ระยะเวลา 28 ปี ของประเทศนี้ รัฐประหารไปแล้ว 3 ครั้ง คือ พฤษภา 35, กันยา 49 และ พฤษภา 57 โดยทหารที่อ้างว่าเพื่อแก้ไขความต่ำทรามทางการเมือง จากนักการเมือง จึงเข้ามากำจัด แต่แล้วสุดท้ายทหารก็เข้ามาปกครอง โดยไม่ได้แก้ไขอะไร หรือแก้อะไรไม่ได้เลย ยิ่งแก้ยิ่งยุ่งยิ่งแย่เหมือนลิงแก้แห เฉลี่ยแล้วประเทศไทยได้ผู้ปกครองที่เป็นทหาร มาจากการยึดอำนาจ 10 ปี ครั้ง
หายนะใหญ่ทางอำนาจในประวัติศาสตร์การเมืองไทย มีเรื่องเดียวคือไม่รักษาวาจา ย้อนไปถึงยุคเณรถนอม (จอมพลถนอม กิตติขจร อดีตรัฐมนตรี คนที่ 10 ) ก็ไม่แตกต่าง ซึ่งนิสัยประชาชนคนไทยนั้น เกลียดที่สุด คือการโหก การไม่รักษาวาจา หรือ ตระบัดสัตย์ เวลานี้เมื่อนึกถึงเวลาเมื่อ 20 กว่าปีก่อน กำลังบรรจบคล้ายๆ กัน ทั้งนายกรัฐมนตรีประยุทธ ที่กล่าวถึงเรื่องตั้ง เรื่องปราบคอร์รัปชั่น และคำพูดของรองนายกฯ ประวิตร เรื่องลาออก!!
และแน่นอน เชื้อไฟปะทุในยามนี้พร้อมลุกลามไปทั้งทุ่ง จนยากจะดับให้มอดได้ ทางรอดเดียวที่ทำได้คือรีบประกาศวันเลือกตั้ง รักษาสัจจะวาจา และลงจากอำนาจหลังเสือเสียที หากยังดื้อดึงจะยื้อเวลาอยู่ต่อ คะเนว่า เหตุการประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะคนไทยที่รักประชาธิปไตยจริงๆ หมดความอดทนแล้ว!!!
.
อัฎธิชัย ศิริเทศ ทีมงานไทยเอ็นจีโอ