1917
อำนาจรัฐและบริษัท
ในกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
ในกระบวนการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นสำหรับโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ประเภทต่าง ๆ ที่ถูกกำหนดให้ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้ง EIA และ EHIA นั้น มักถูกบิดเบือนเจตนารมณ์อยู่เสมอ ซึ่งมีทั้งการไม่เปิดเผยข้อมูลที่เหมาะสม รูปแบบการจัดเวทีไม่เอื้อต่อการแสดงความคิดเห็นของประชาชน เวลาในเวทีรับฟังความคิดเห็นไม่เหมาะสมและไม่เป็นธรรมต่อผู้ได้รับผลกระทบ กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียไม่ได้เข้าร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็นครอบคลุมทุกกลุ่ม และเจ้าภาพจัดเวทีซึ่งเป็นเจ้าของโครงการพยายามทำทุกวิถีทางให้ผู้เข้าร่วมเวทีที่มีความคิดเห็นอันหลากหลายทั้งเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย หรือเป็นกลาง ๆ ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หรือบุคคลที่มีความเห็นอื่น ๆ กลายเป็นฝ่ายสนับสนุนโครงการทั้งหมดให้ได้ ฯลฯ
แม้กระทั่งการแจกเงินเพื่อจูงใจให้เข้าเวทีก็ส่งผลอย่างมากต่อกระบวนการตัดสินใจที่เปลี่ยนไป หรือไม่สนใจที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างไม่ตรงไปตรงมาเสียแล้วจากแรงจูงใจดังกล่าว
การบิดเบือนโดยจงใจนับจำนวนประชาชนที่เข้ามานั่งในเวทีทั้งหมดว่าเป็นผู้สนับสนุนโครงการได้ทำให้เจตนารมณ์ของการรับฟังความคิดเห็นไร้ค่าไร้ความหมายไปเสีย เพราะโดยเนื้อแท้แล้วเจตนารมณ์ของการรับฟังความคิดเห็นแปรผันโดยตรงกับอำนาจของประชาชน เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระเสรี โดยไม่ตกอยู่ในบรรยากาศของความกลัว เช่นเอาตำรวจทหารและอุปกรณ์ควบคุมฝูงชนเข้ามาในเวที และใช้กลยุทธถ่วงเวลาให้กลุ่มประชาชนที่เจ้าของโครงการไม่อยากรับฟังความคิดเห็นเข้าสู่เวทีล่าช้า หรือตั้งแถวปะทะโดยตรงเพื่อไม่ให้กลุ่มประชาชนที่เจ้าของโครงการไม่อยากรับฟังความคิดเห็นเข้าสู่เวทีเลย หรือพูดจาข่มขู่คุกคามกลุ่มประชาชนที่เจ้าของโครงการไม่อยากรับฟังความคิดเห็นตลอดเวลาเพื่อให้สลายตัวไปเสีย เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ กลับกลายเป็นว่าการรับฟังความคิดเห็นขึ้นอยู่กับอำนาจรัฐและบริษัทแทน เพื่อจะออกแบบให้เกิดการปิดกั้นการรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มประชาชนที่ไม่ต้องการให้อยู่ในบันทึกการรับฟังความคิดเห็นเพื่อจัดทำรายงาน EIA หรือ EHIA ให้จงได้ เพราะเกรงว่าจะส่งผลทำให้ EIA หรือ EHIA ไม่ผ่านความเห็นชอบจากหน่วยงานที่พิจารณาได้
หรือแม้กระทั่งหลายโครงการที่มีกลุ่ม/องค์กรประชาชนแสดงออกอย่างชัดเจนถึงการคัดค้านโครงการ รัฐและบริษัทเจ้าของโครงการก็ควรตระหนักอย่างลึกซึ้งในการออกแบบการประชุมรับฟังความคิดเห็นโดยให้มีสัดส่วนระหว่างฝ่ายคัดค้านและฝ่ายสนับสนุนให้เกิดสมดุลย์ให้ได้ ไม่ให้ฝ่ายใดเสียเปรียบ/ได้เปรียบฝ่ายใด
หรือหากไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ ก็ควรที่จะยกระดับจากการรับฟังความคิดเห็นไปเป็นประชามติ โดยออกแบบกระบวนการประชามติให้โปร่งใส รอบคอบ รัดกุม สะดวก ง่าย ต่อการลงประชามติ ดังเช่นรูปแบบการเลือกตั้ง หรือรูปแบบที่ชอบธรรมอื่น ๆ เป็นต้น
แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่รัฐและบริษัททำคือการปิดกั้นการรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มประชาชนที่ไม่ต้องการรับฟังความคิดเห็นทุกช่องทางแทน
ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อำเภอปทุมรัตต์ จ.ร้อยเอ็ด ในการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็น (ครั้งที่ 2) สำหรับโครงการโรงงานผลิตน้ำตาลและโรงไฟฟ้าชีวมวลในวันที่ 29 และ 31 พฤศจิกายนที่ผ่านมาตามลำดับของบริษัท น้ำตาลบ้านโป่ง จำกัด ที่ปิดกั้นการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนโดยตำรวจควบคุมฝูงชนหนึ่งกองร้อยจัดแถวปะทะไม่ยอมให้ประชาชนในนามภาคีเครือข่ายคนฮักทุ่งกุลาเข้าร่วมเวทีในวันที่ 29 พฤศจิกายน และพอวันที่ 31 พฤศจิกายนกลับยื่นเงื่อนไขให้เข้าร่วมได้ 5 คน
ซึ่งในเวทีมีประชาชนที่ถูกเกณฑ์มาและจูงใจโดยให้ค่าเสียเวลาคนละ 300 บาท เข้าร่วมเวทีประมาณ 1,000 คน จึงกลายเป็นสัดส่วนผู้เข้าร่วมที่คัดค้านโครงการกับสนับสนุนโครงการ 5 ต่อ 1,000 หรือ 1 ต่อ 200 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม มิหนำซ้ำทางเดินเข้าสู่เวทีมีเชือกพลาสติคกั้นแบ่งแยกระหว่างประชาชนในนามภาคีเครือข่ายคนฮักทุ่งกุลาที่แสดงเจตจำนงค์คัดค้านโครงการกับผู้ที่ถูกต้อนเข้าไปนั่งเป็นผู้สนับสนุนโครงการอยู่ในเวทีแล้ว และมีตำรวจชุดควบคุมฝูงชนตั้งแถวสกัดอยู่หลายทิศทาง ล้อมหน้าล้อมหลัง จำนวนหนึ่งกองร้อย สร้างบรรยากาศความไม่เป็นมิตรและทำให้กลัวขึ้น
กระบวนการการรับฟังความคิดเห็นเช่นนี้ได้ทำให้หลักประกันของสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการแสดงความคิดเห็นเพื่อมีส่วนร่วมกับรัฐในการพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองสั่นคลอนเพราะถูกกดให้ต่ำลง
ซึ่งเป็นการบังคับใช้กฎหมายและนโยบายเพื่อพัฒนาบ้านเมืองโดยปิดกั้นการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เยี่ยงที่เกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนชาว อ.ปทุมรัตต์ จ.ร้อยเอ็ด และในพื้นที่อื่น ๆ อีกหลายแห่งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการพัฒนาบ้านเมืองที่ยืนอยู่บนทิศทางที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม
เดิน-ปิด-เหมือง บอกเล่าปัญหาเหมืองหินปูน
จากภูผาฮวกสู่ศาลากลางจังหวัดหนองบัวลำภู
กลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ซึ่งเป็นประชาชนในพื้นที่รอบเหมืองหินปูน 6 หมู่บ้านในเขต ต.ดงมะไฟ อ.สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู ที่ต่อสู้กับการให้สัมปทานเหมืองหินปูนตลอด 25 ปีที่ผ่านมา ได้เผยแพร่ข่าวสารลงในเฟซบุ๊ก ‘เหมืองแร่หนองบัว’ เพื่อเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนออกมาแสดงพลังคัดค้านการให้สัมปทานเหมืองหินปูนด้วยการเดินเท้าจากหมู่บ้านถึงศาลากลางจังหวัดหนองบัวลำภู ระหว่างวันที่ 7-12 ธันวาคม 2562 นี้ เพื่อเรียกร้องหน่วยงานรัฐให้หยุดการต่อใบอนุญาตใช้พื้นที่ป่าไม้เพื่อกิจการเหมืองแร่หินปูนอีกต่อไป
กิจกรรมดังกล่าวจะใช้การเดินและจัดเวทีทุก ๆ เย็นหลังการเดินเสร็จสิ้นในแต่ละวันเพื่อบอกเล่าเรื่องราวผลกระทบและความสูญเสียจากการทำเหมืองแร่หินปูนและโรงโม่หินบนภูผาฮวก เนื้อที่กว่า 175 ไร่ ซึ่งปัจจุบันนายทุนกำลังจะยื่นขอต่อใบอนุญาตการใช้พื้นที่ป่าไม้เพื่อกิจการเหมืองแร่หินปูน โดยให้สภาองค์การบริหารส่วนตำบลดงมะไฟมีมติเห็นชอบให้ใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเพื่อทำเหมืองแร่ออกไปอีก 10 ปี (จนถึงปี 2573)
พร้อมกันนี้ได้ออกแบบตราสัญลักษณ์การเดินครั้งนี้ โดยอธิบายความหมายไว้ว่า ภูเขาและต้นจันไดบนพื้นสีเขียว-ขาว หมายถึงความอุดมสมบูรณ์และงดงามของทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ โดยมีภูเขาและป่าไม้ซึ่งเป็นต้นกำเนิดก่อเกิดทุกสรรพสิ่ง โดยมีต้นจันได หรือจันผา เป็นต้นไม้ประจำถิ่นที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เป็นต้นไม้ที่ทนต่อสภาพแวดล้อมในทุกฤดูกาลบนภูมินิเวศเขาหินปูนที่ค่อนข้างขาดแคลนเนื้อดินอันอุดมสมบูรณ์ สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามภูเขาหินปูนบริเวณนี้ เปรียบดั่งความอดทนและกล้าแกร่งต่อสู้ด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ของพี่น้องประชาชนที่คัดค้านเหมืองแร่หินปูนมาอย่างยาวนานตลอด 25 ปีที่ผ่านมา
ติดต่อประสานงาน - Contact
Tel : 099-014-3797
ทศพร แกล้วการไร่ : ผู้ดูแลเว็บ - Webmaster
Tel : 080-078-4016
อัฎธิชัย ศิริเทศ : บรรณาธิการ - Editor
Tel : 082-178-3849
Email : webmaster@thaingo.org
Office Hours : Mon-Fri , 9.00-17.00
2044/23 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพ 10310
2044/23 New Phetchaburi Road, Bangkapi, Huai Khwang, Bankok 10310
+662 314 4112