1343
หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มมีการแพร่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนคนไทยต้องเฝ้าระวัง ในขณะที่มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น มีคนเสียชีวิต และที่ยังมีคนที่เฝ้าสังเกตอาการอีกจำนวนมากมาย ผลกระทบที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือการสูญเสียอาชีพ และสูญเสียรายได้ ปัญหาการขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ สินค้าราคาแพงและหาซื้อได้ยากขึ้น สภาวการณ์แบบนี้ทำเกิดปัญหาทางโครงสร้าง ทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และสิ่งแวดล้อมที่ดี จนทำให้ขาดดุลยภาพทางการดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติ
แม้ภัยจากโรคระบาดโควิด -19 ในครั้งนี้ อาจจะดูไม่รุนแรงเท่ากับภัยสงครามหรือภัยก่อการร้าย แต่มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่ารัฐบาลชุดนี้ขาดศักยภาพในการแก้ไขปัญหา มาตรการแก้ไขปัญหาในปัจจุบันกำลังลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จำกัดเสรีภาพในการแสดงออกในช่องทางสื่อสาธารณะ เข้าไม่ถึงระบบสุขภาพขั้นพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่จำเป็น ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เกิดจากการบริหารผิดพลาด การไม่มีมาตรการป้องกันตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้เกิดการระบาดแพร่กระจายไร้ทิศทางการควบคุม และเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ ฉุกเฉิน ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 บังคับใช้ ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม 2563 - วันที่ 30 เมษายน 2563 เพื่อหวังหยุดการแพร่ระบาด โควิด -19 โดย มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1.ห้ามมิให้บุคคลใดออกนอกเคหสถานภายในระยะเวลาที่ที่กำหนด
2.ห้ามมิให้มีการชุมชุม หรือมั่วกัน
3.ห้ามเสนอข่าว การจำหน่ายหรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์หรือสื่ออื่นใดที่มีเจตนาบิดเบือน ข้อมูลข่าวสาร
4.ห้ามการใช้เส้นทางคนมาคม หรือยานพาหนะ หรือกำหนดเงื่อนไขการใช้เส้นทาง
5.ห้ามการใช้อาคาร หรือเข้าไป หรืออยุ่ในสถานที่ใดๆ
6.ให้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่ที่กำหนดเพื่อความปลอดภัย
เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ ที่ติดตามโครงการพัฒนาของรัฐและเอกชนด้านทรัพยากรแร่ จึงมีข้อคิดเห็นทักท้วง ในการใช้อำนาจของรัฐบาล ในการบังคับใช้ ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 นั้นจำกัดสิทธิเสรีภาพในชุมนุม ลดทอนกระบวนการมีส่วนร่วม ปิดกั้นช่องทางการร้องเรียน ทำให้ไม่สามารถใช้สิทธิ์ในการคัดค้านโครงการเหมืองแร่ ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้ การอนุมัติ อนุญาตของโครงการเหมืองแร่หลายพื้นที่ยังดำเนินตามกระบวนการต่อไป โดยมีการอำนวยการฝ่ายรัฐและเอกชนอย่างเข้มแข็ง แต่ขณะที่ประชาชนผู้มีส่วนได้เสียตาม พรบ.แร่ ถูกแช่แข็งโดย พรก.ฉุกเฉิน ทำให้สิทธิ์และเสียง เสรีภาพของประชาชนที่ของเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าแร่ ถูกทำให้หายไป ไร้ตัวตนในสภาวะเงียบงัด แต่เอกชนยังคงดำเนินกิจกรรมมิได้ถูกบังคับใช้ที่อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม ดังนั้น เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าแร่ จึงมีข้อเรียกร้องดังนี้
1.เพื่อเป็นการบังคับใช้ ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 อย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม จึงขอให้หน่วยงาน หยุดกระบวนการพิจารณาด้านต่างๆ ที่จะนำไปสู่การพิจารณาออกใบอนุญาตให้กับโครงการเหมืองแร่ทุกประเภท จนกว่าประชาชนจะสามารถใช้สิทธิเสรีภาพได้เต็มที่
2.ในกรณีพื้นที่ที่ได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ จะต้องมีคำสั่งให้หยุดการดำเนินการไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำเติมประชาชนที่ต้องต่อสู้กับโควิด-19 และในขณะเดียวกันก็ต้องอยู่กับผลกระทบที่เกิดจากเหมืองแร่ในพื้นที่ด้วย
จากข้อเรียกร้องข้างต้น เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าแร่ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้บังคับใช้ ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เท่าที่จำเป็นเท่านั้น และหากปล่อยให้โครงการต่างๆผ่านไป ในสภาวะที่ประชาชนยังไม่มีสิทธิเสรีภาพ ขาดกระบวนการมีส่วนร่วม ประชาชนอาจจะได้รับผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ซึ่งขัดเจตนารมย์หลักตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560และกฎหมายรัฐธรรมนูญ จึงเรียนมายังหน่วยงานต่างๆ เพื่อหยุดการดำเนินการโครงการด้านเหมืองแร่ทั่วประเทศไทย
ด้วยความเคารพ
30 มีนาคม 2563
เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาเผยแพร่
ด้วยความเคารพจากเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่
ติดต่อประสานงาน - Contact
Tel : 099-014-3797
ทศพร แกล้วการไร่ : ผู้ดูแลเว็บ - Webmaster
Tel : 080-078-4016
อัฎธิชัย ศิริเทศ : บรรณาธิการ - Editor
Tel : 082-178-3849
Email : webmaster@thaingo.org
Office Hours : Mon-Fri , 9.00-17.00
2044/23 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพ 10310
2044/23 New Phetchaburi Road, Bangkapi, Huai Khwang, Bankok 10310
+662 314 4112