Back

ภาวะล้มละลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล โดย พ.ร.ก. ฉุกเฉิน

8 April 2020

1379

ภาวะล้มละลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล  โดย พ.ร.ก. ฉุกเฉิน

ขอบคุณภาพข่าวจาก เว็บประชาชาติธุรกิจ : https://www.prachachat.net/politics/news-432924

 

ยังเร็วเกินไปที่จะกล่าวว่าประเทศเราคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 ได้แล้ว  แต่ไม่ช้าเกินไปที่จะกล่าวว่าประเทศเราตกอยู่ในภาวะล้มละลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลมากขึ้นเรื่อย ๆ  แม้จะประกาศภาวะฉุกเฉินเพื่อกระชับอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 หรือ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ก็ไม่อาจทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลกลับคืนมาได้อย่างง่ายดายแน่นอน 

อันที่จริงแล้ว  ความน่าเชื่อถือเกิดความบกพร่องสั่งสมมาตั้งแต่รัฐบาลประยุทธ 1 ที่ยึดอำนาจโดยรัฐประหารเมื่อปี 2557 จนอวตารมาสู่ ‘เผด็จการประชาธิปไตย’ ในรัฐบาลประยุทธ 2 ที่ความบกพร่องกลายเป็นความล้มละลายในความน่าเชื่อถือมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่เริ่มเข้ามาในประเทศตั้งแต่เดือนแรกของปีนี้  โดยปล่อยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นหลายครั้งหลายหนจากคนที่อยู่ในวงศ์วานอำนาจชั้นในของรัฐบาลทำการกักตุนและขึ้นราคาอุปกรณ์และเวชภัณฑ์หลายรายการที่ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขต้องใช้ในการต่อสู้และป้องกันโรคโควิด 19  ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากอนามัย ชุดป้องกัน แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อและเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ เป็นต้น 

โดยเฉพาะหน้ากากอนามัยที่ถูกประกาศเป็นสินค้าควบคุมในภาวะวิกฤตินี้ เพื่อคำนึงถึงการใช้ของประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขให้เพียงพอก่อนมุ่งเน้นการส่งออก กลับปล่อยให้บริษัทผู้ผลิตทำการสำแดงเท็จโดยไร้การตรวจสอบ หลายบริษัทเพิ่มปริมาณการผลิตมากกว่าตัวเลขสำแดงจริงหลายเท่าตัว เพื่อนำไปขายทั้งในและต่างประเทศในราคาสูงกว่าราคาควบคุม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เองก็แสร้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่  ไม่เว้นแม้กระทั่งหน้ากากอนามัยที่อยู่ในการสำแดงจริงก็ถูกยักยอกเอาไปขายทั้งในและต่างประเทศที่สามารถทำกำไรสูงกว่าราคาขาย 2.50 บาท/ชิ้น แก่ สธ. และ พณ.  รวมถึงแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อและเจลแอลกอฮอล์ล้างมือที่วางขายเกินราคาปกติหลายเท่าตัวเกลื่อนตลาดตามละแวกชุมชนที่เป็นที่อยู่อาศัย สถานที่ทำงานและโรงงานต่าง ๆ  ซึ่งรายการทั้งสามนี้ควรถูกควบคุมให้เป็นสิ่งของเครื่องใช้หรือเวชภัณฑ์แจกฟรี หรือไม่ก็มีราคาถูก ที่ใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของประชาชนอันควรที่รัฐจะจัดหาให้ หรือไม่ก็ซื้อหาเองได้ง่ายที่สุดในยามนี้ 

แต่กลับมีกระบวนการทุจริตคอร์รัปชั่นโดยนักการเมืองที่อยู่ในวงศ์วานอำนาจชั้นในของรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้องจนทำให้มีการค้าขายโก่งราคาเพื่อเอากำไรมากเสียจนไม่คำนึงถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพและชีวิตของประชาชนจากภัยคุกคามของโรคโควิด 19  ซึ่งแทนที่รัฐบาลจะเข้มงวดกวดขัน กลับวางเฉยไม่สนใจใยดีที่จะหาตัวคนทำความผิดแต่อย่างใด

รวมทั้งความไร้เอกภาพ ประสิทธิภาพและวุฒิภาวะในการวิเคราะห์ คาดการณ์และรับมือสถานการณ์ความรุนแรงหรือเลวร้ายจากการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวที่วางอยู่บนพื้นฐานแบบขาดความสัมพันธ์อันดี ไร้ความห่วงใยและไม่เห็นคุณค่าชีวิตของประชาชนเท่าที่ควร  มิหนำซ้ำยังมีพฤติกรรมปกปิด บิดเบือนและไม่ตระหนักในการให้ข้อมูลข้อเท็จจริงแก่ประชาชน ซึ่งเป็นพื้นฐานของการตื่นตัวและสร้างจิตสำนึกร่วมเพื่อร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าฟันวิกฤติเลวร้ายของสังคม  เช่น  การตรวจวัด คัดกรองและมาตรการรองรับอย่างสะเปะสะปะกับนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ และชาวไทยที่เดินทางกลับ ที่มาจากประเทศที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง,  การปล่อยปละละเลยให้จัดการแข่งขันกีฬามวยที่สนามมวยลุมพินี (สองกรณีนี้ได้ทำให้การแพร่ระบาดของโรคลุกลามบานปลายออกไป),  การไม่แจ้งตัวเลขอย่างตรงไปตรงมาว่าแต่ละวันสามารถตรวจหาเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด 19 ได้วันละกี่ราย สอดคล้องและครอบคลุมผู้ติดเชื้อทั้งหมดหรือไม่ อย่างไร,  จำนวนเตียงในการรองรับผู้ป่วยในและนอกสถานพยาบาลทั้งประเทศมีจำนวนเท่าไหร่ เพียงพอหรือไม่ อย่างไร หากเกิดวิกฤติไต่ระดับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ,  การเตรียมความพร้อมและแผนการรับมือด้านอื่น ๆ หากเกิดวิกฤติไต่ระดับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ฯลฯ 

เหล่านี้คือพฤติกรรมที่สะท้อนความไร้เอกภาพ ประสิทธิภาพและวุฒิภาวะในการสื่อสารที่ตั้งอยู่บนทัศนคติเหยียด ดูหมิ่นดูแคลน วางเฉย ไม่ทุกข์ร้อน ไม่สนใจใยดีของคณะรัฐบาลที่มีต่อประชาชนของตน  มิหนำซ้ำยังเผื่อแผ่การเหยียดไปสู่ประชาชนของประเทศอื่นอีกด้วย

สิ่งละอันพันละน้อยที่เกิดขึ้นร่วมกับปัญหาภัยแล้ง ฝุ่นพิษและการยุบพรรคอนาคตใหม่จนเกิดการเคลื่อนไหวแฟลชม็อบของนักเรียนนักศึกษาหลากหลายสถาบันทั่วทุกภูมิภาค ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับการถูกโจมตีจากเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด 19 พอดิบพอดี จึงทำให้สถานการณ์สังคมและการเมืองถูกบ่มหมักจนได้ที่จนเกิดภาวะล้มละลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลมากขึ้นเรื่อย ๆ ณ เวลานี้

การประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เพื่อใช้อำนาจแข็งหรือกระชับอำนาจในการควบคุมสั่งการประชาชนให้มากขึ้น เพราะรัฐบาลประยุทธ 2 มองว่าการอยู่บนฐานอำนาจแบบประชาธิปไตยโดยรัฐสภากับพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน เป็นอำนาจที่อ่อนแอเกินไป  ไม่สามารถรวมศูนย์สั่งการเพื่อฝ่าวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้  กลับเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เกิดภาวะล้มละลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี  เพราะสังคมหาได้คล้อยตามความคิดแบบการใช้อำนาจแข็งของรัฐบาลประยุทธ 2 แต่อย่างใด 

ขณะที่รัฐบาลประยุทธ 2 ก็ย่อมมองเห็นเช่นกันว่าองคาพยพของรัฐจากรัฐบาลประยุทธ 1 ล่วงมาถึงรัฐบาลประยุทธ 2 ทำให้เกิดภาวะล้มละลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลมากขึ้นเรื่อย ๆ จากการไร้ความสามารถและมีทัศนคติไม่เป็นมิตรกับประชาชนในการแก้ไขวิกฤติการณ์ขนาดใหญ่อย่างภัยแล้ง ฝุ่นพิษ และทำลายประชาธิปไตยโดยการยุบพรรคอนาคตใหม่ จนเกิดแฟลชม็อบที่ลุกลามบานปลายของนักเรียนนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ที่ต้องการลุกขึ้นมากำหนดอนาคตตนเอง  ซึ่งแทนที่จะแก้ปัญหาด้วยแนวทาง ‘เพิ่มประชาธิปไตย’ ให้มากขึ้น  กลับเห็นว่าภาวะล้มละลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลที่มากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเพราะ ‘อำนาจไม่พอ’

นี่คือสายตาของความเป็นรัฐที่มักมองเห็นแต่ความบกพร่องของประชาชน แต่มองไม่เห็นความบกพร่องของตัวรัฐเอง    

การกระชับอำนาจโดย พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เพื่อหวังจะบูรณาการหลากหลายหน่วยงานให้มีเอกภาพเป็นหนึ่งเดียว (Single Command) ในการต่อสู้กับโรคโควิด 19 และควบคุมความรู้สึกนึกคิดผู้คนโดยใช้อำนาจบังคับให้ประชาชนมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รู้รักสามัคคี เพื่อร่วมแรงกายใจในการต่อสู้ขับไล่เชื้อไวรัสก่อโรคโควิด 19 ให้ได้ เป็นวิธีการที่ขาดความเฉลียวฉลาดของรัฐบาลประยุทธ 2 ที่ไม่เข้าใจว่าโลกกำลังหมุนรอบตัวเองและดวงอาทิตย์อยู่ในปี พ.ศ. 2563  ไม่ได้หมุนอยู่ในยุคสงครามเย็น  ที่ความคิดเห็นของประชาชนแต่ละคนมีสถานภาพและคุณค่าในการรับฟังจากการใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นเครื่องมือสื่อสารแบบเท่าทันสถานการณ์ (Realtime)  เพราะแต่ละวัน ๆ ประชาชนไม่ได้ฟังความเห็นจากสื่อกระแสหลักโดยหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ที่รัฐสามารถควบคุมเนื้อหาโดยง่ายอีกต่อไป  แต่ฟังความเห็นที่หลากหลายและมีเสรีภาพมากกว่าจากสื่อออนไลน์และประชาชนด้วยกันเองเพื่อกำหนดชะตาชีวิตของประชาชนเองให้สอดคล้องกับความต้องการของแต่ละคนให้มากขึ้น

ข้อห่วงกังวลอย่างยิ่งก็คือภาวะเสพติดอำนาจของรัฐบาลประยุทธ 2 จากการใช้อำนาจโดย พ.ร.ก. ฉุกเฉิน  ซึ่งเกรงว่าจะถูกใช้เพื่อแทรกแซงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมากเกินควร  โดยเฉพาะข้อห้ามและข้อจำกัดในการทำมาหากินของประชาชนในช่วงเวลาเคอร์ฟิว  และการลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ไม่สามารถลุกขึ้นมาคัดค้านนโยบาย โครงการพัฒนาและกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมทั้งหลายได้  เพราะถูกจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมสาธารณะ  ซึ่งเป็นอาวุธและเครื่องมือสำคัญในการ ‘ลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน’ ของประชาชนมือเปล่า ด้วยข้ออ้างของ ‘สุขภาพนำเสรีภาพ’[[1]

ดังที่ชาวบ้านในนามกลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชนเขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ต.ดงมะไฟ อ.สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู พยายามหาช่องทางรวมตัวกันเท่าที่เป็นไปได้เพื่ออ่านแถลงการณ์หน้าเหมืองหินปูนและยื่นจดหมายถึงผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภูผ่านนายอำเภอสุวรรณคูหาแบบเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 เพื่อไม่ให้ข่าวคราวเรื่องราวการต่อสู้คัดค้านเหมืองแร่หินปูนของพวกเขาเงียบหายไป  และกระตุ้นให้หน่วยงานราชการไม่นิ่งเฉยต่อข้อเรียกร้องให้ปิดและฟื้นฟูเหมืองที่พวกเขาเรียกร้องมาอย่างยาวนาน[[2]]

เพราะสิ่งที่รัฐบาลประยุทธ 2 ไม่ชอบเลยก็คือภาวะการเมืองโดยระบบรัฐสภาที่ทำให้การใช้อำนาจไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดมากพอ  เหมือนกับช่วงเวลาของการใช้อำนาจที่ได้มาจากรัฐประหาร 2557 จนถึงการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ที่สามารถกดปราบสิทธิและเสรีภาพและการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของประชาชนไว้ได้ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้  ซึ่งภาวะวิกฤติจากโรคโควิด 19 คงลากยาวเลยปี 2563 อย่างน้อยที่สุดก็ปีนี้ทั้งปี ที่รัฐบาลประยุทธ 2 คงจะใช้เป็นข้ออ้างไม่ยอมยกเลิกการบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เพื่อหวังผลทางการเมืองเรื่องอื่น ๆ ที่ไกลไปกว่าการฝ่าวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโรคโควิด 19 อย่างแน่นอน.

 

หมายเหตุ รายงานสังคมและการเมืองฉบับนี้ใช้ข้อมูลประกอบการเขียนจนถึงวันที่ 4 เมษายน 2563

 

[[1]] เป็นถ้อยคำหนึ่งที่พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ใช้ในการกล่าวประกาศเคอร์ฟิวตามการบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ห้ามประชาชนออกนอกบ้านในระยะเวลาที่กำหนดตั้งแต่ 22.00 - 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย (ทีวีพูล) เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2563

[[2]] ดูรายละเอียดได้ที่ข้อมูลออนไลน์ จากเพจ ‘เหมืองแร่หนองบัว’

About Us

เว็บไทยเอ็นจีโอ สนับสนุนการใช้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์และเผยแพร่แนวคิดวัฒนธรรมเสรี เนื้อหาในเว็บไซต์ไทยเอ็นจีโอดอทโออาจี ท่านสามารถเอาไปใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องขออนุญาต เพียงท่านระบุที่มาและห้ามทำการค้า

ThaiNGO Team

ติดต่อประสานงาน - Contact
Tel : 099-014-3797

ทศพร แกล้วการไร่ : ผู้ดูแลเว็บ - Webmaster
Tel : 080-078-4016

อัฎธิชัย ศิริเทศ : บรรณาธิการ - Editor
Tel : 082-178-3849

Email : webmaster@thaingo.org

Office Hours : Mon-Fri , 9.00-17.00

Contact Info

2044/23 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพ 10310

2044/23 New Phetchaburi Road, Bangkapi, Huai Khwang, Bankok 10310

+662 314 4112