1466
การต่อต้านขัดขืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 หรือ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ได้มีการขยายตัวในวงกว้างขึ้น มีการแสดงออกจากภาคประชาชนหลายกลุ่ม/องค์กร/เครือข่ายที่ลุกขึ้นมาต่อต้านขัดขืนการบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ในทุกภูมิภาค หนึ่งในนั้นคือเครือข่ายประชาชน 5 ภูมิภาค ได้นำรายชื่อกลุ่ม/องค์กร/บุคคลรวม 390 รายชื่อ ยื่นจดหมายถึงคณะรัฐมนตรีและผู้ตรวจการแผ่นดิน ในวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินควบคุมโรคโควิด 19
ด้วยเห็นว่าการขยายเวลาประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ออกไปอีกจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 จะเกิดผลกระทบกับการดำรงชีวิตของประชาชน และเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจำนวนมากเกินความจำเป็น และสุ่มเสี่ยงต่อการใช้อำนาจอย่างคลุมเครือไปในทางที่ไม่เกี่ยวข้องกับการป้องกันควบคุมโรคระบาด ในเมื่อขณะนี้สถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ภายในประเทศมีแนวโน้มที่ดีขึ้นมากแล้ว และการบังคับใช้กฎหมายปกติ เช่น พระราชบัญญัติโรคติดต่อ และกฎหมายคนเข้าเมือง ก็ให้อำนาจกำหนดมาตรการที่ครอบคลุมเพียงพอที่จะป้องกันและควบคุมโรคระบาดได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีกแต่อย่างใด
โดยในส่วนเนื้อหาของจดหมายที่ยื่นถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีให้ยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และการบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 และขอให้เสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการใช้อำนาจขยายระยะเวลาบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญในมาตรา 26 มีดังนี้
“ตามที่นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีได้ใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (พ.ร.ก. ฉุกเฉิน) ออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ลงวันที่ 25 มีนาคม 2563 เพื่อยับยั้งและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา หรือโรคติดต่อโควิด 19 เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2563 และได้มีประกาศขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 1) ลงวันที่ 28 เมษายน 2563 ให้ขยายไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 โดยในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าวได้มีการออกข้อกำหนดโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน มาตรา 9 หลายฉบับ เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันและควบคุมโรคระบาด อันรวมถึงมาตรการให้ปิดสถานที่ ประกาศเคอร์ฟิวห้ามออกนอกเคหสถานในเวลากลางคืน ห้ามการชุมนุม มีข้อกำหนดเรื่องการเดินทางข้ามจังหวัดอย่างเข้มงวด
“ซึ่งขณะนี้สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ภายในประเทศมีแนวโน้มที่ดีขึ้นมาก แต่ปรากฏว่าวันนี้ 26 พฤษภาคม 2563 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีกลับยังคงมีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและการบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ทั่วราชอาณาจักรออกไปอีก 1 เดือนจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563
“เครือข่ายประชาชน 5 ภูมิภาค เห็นว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและดำเนินการตามข้อกำหนดข้างต้น แม้จะมีผลในการยับยั้งป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 อย่างเร่งด่วนในระยะแรก แต่โดยที่ขณะนี้สถิติของผู้ติดเชื้อลดลงตามลำดับจนแทบไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่แล้ว อันแสดงให้เห็นว่าการรับมือต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ของประเทศไทยนั้นไม่ได้อยู่ในสภาวะฉุกเฉินในระดับที่จะไม่สามารถควบคุมโรคได้อีก
“และที่สำคัญ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถบังคับใช้กฎหมายปกติที่มีอยู่ โดยเฉพาะพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ที่ให้อำนาจไว้อย่างครอบคลุม และเป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์โดยตรงในการควบคุมโรคติดต่อ ควบคู่กับการดำเนินมาตรการด้านสาธารณสุขที่เข้มแข็ง และการประสานความร่วมมือกับประชาชน ก็เป็นแนวทางในการควบคุมสถานการณ์โรคติดต่อนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“รวมถึงยังมีกฎหมายฉบับอื่น ๆ ที่สามารถบังคับใช้ประกอบกันเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ได้ โดยไม่จำเป็นต้องประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เช่น พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พระราชบัญญัติสำรวจการกักตุนโภคภัณฑ์ และพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เป็นต้น ซึ่งเป็นสามกฎหมายที่รัฐบาลและหน่วยงานได้นำมาบังคับใช้ในการประกาศกำหนดมาตรการและให้อำนาจแก่หน่วยงานเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ในการปฏิบัติหน้าที่ในปัจจุบันอยู่แล้ว
“และเนื่องจาก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เป็นกฎหมายที่มีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างกว้างขวางและรุนแรง เป็นรูปแบบการใช้อำนาจที่คลุมเครือ ขาดการถ่วงดุลตรวจสอบ ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหาร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองใช้อำนาจทางอาญาได้โดยมีบทบัญญัติยกเว้นความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ และตัดอำนาจการตรวจสอบโดยศาลปกครอง รัฐจึงต้องใช้อำนาจตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ด้วยความระมัดระวังและจำกัดเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ขณะนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า รัฐบาล เจ้าหน้าที่รัฐ และหน่วยงานด้านความมั่นคง กำลังอ้างใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปในทางการจำกัดและคุกคามสิทธิเสรีภาพประชาชน โดยมิได้มีนัยยะเกี่ยวข้องกับการป้องกันยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 แต่อย่างใด ทั้งการปฏิบัติการระดับพื้นที่ เช่น กรณีการจับกุมชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากโครงการเหมืองแร่จากการกิจกรรมสื่อสารต่อสาธารณะในพื้นที่บำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ กรณีการยับยั้งการใช้เสรีภาพการแสดงออกของประชาชนในการคัดค้านการสร้างกำแพงกันคลื่นที่หาดม่วงงาม จ.สงขลา กรณีการข่มขู่กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ไปยื่นร้องเรียนต่อสภามหาวิทยาลัยขอให้มีการลดค่าเทอมลง การสกัดกั้น และดำเนินคดีประชาชนที่จัดกิจกรรมเนื่องในวันครบรอบ 6 ปีรัฐประหาร โดยอ้าง พ.ร.ก. ฉุกเฉิน การปฏิบัติการตามนโยบายทวงคืนผืนป่า ทั้งการตรวจยึดพื้นที่ ไถทำลายผลอาสิน และฟ้องดำเนินคดี
“รวมถึงความพยายามในการผลักดันนโยบายสาธารณะที่จะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและจำกัดการเข้าถึงทรัพยากรของประชาชนในห้วงเวลาที่ประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมและแสดงออกได้ตามปกติ เช่น กรณีการเข้าร่วมกลุ่มความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค (CPTPP) และการเร่งรัดจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นต่อโครงการเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เป็นต้น
“นอกจากนี้ การออกข้อกำหนดภายใต้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฉบับต่าง ๆ ที่ผ่านมา ยังสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ รายได้ และโอกาสในการประกอบอาชีพโดยปกติของทุกผู้คนในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนจน ผู้ใช้แรงงาน และผู้ประกอบการอิสระในระดับเล็กและระดับกลาง ในขณะที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่กลับยังสามารถดำเนินโครงการเพื่อใช้ทรัพยากรและแสวงหาผลประโยชน์ท่ามกลางความยากลำบากแร้นแค้นของคนส่วนใหญ่ในสังคม ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำ และจุดยืนของรัฐบาลในการบริหารประเทศอย่างชัดเจน
“ผู้ร้องในนามเครือข่ายประชาชน 5 ภูมิภาค และภาคประชาชนดังมีรายชื่อแนบท้าย จึงเห็นว่า การขยายเวลาประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ออกไปอีกจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 จะเกิดผลกระทบกับการดำรงชีวิตของประชาชน และเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนจำนวนมากเกินความจำเป็น และสุ่มเสี่ยงต่อการใช้อำนาจอย่างคลุมเครือไปในทางที่ไม่เกี่ยวข้องกับการป้องกันควบคุมโรคระบาด อันเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 26 ที่บัญญัติว่า “การตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติเงื่อนไขไว้ กฎหมายดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิได้ รวมทั้งต้องระบุเหตุผลความจำเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพไว้ด้วย” เนื่องจากเป็นการใช้อำนาจที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน เป็นภาระแก่ประชาชน และเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้โดยไม่จำเป็นหรือเกินสมควรแก่เหตุ ซึ่งหลักความพอสมควรแก่เหตุตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญดังกล่าวนั้นย่อมมีผลบังคับใช้กับการอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายออกกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือกระทำการใด ๆ ที่มีผลเป็นการจำกัดหรือกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนให้ยิ่งต้องไม่เกินสมควรแก่เหตุด้วยเช่นกัน
“ด้วยเหตุดังกล่าว จึงมีคำขอต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ดังนี้
“1. ขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินใช้อำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2560 มาตรา 22 เสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ให้ยกเลิกและไม่ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด19
“2. ขอใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 213 ขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ที่ใช้อำนาจขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและการบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ออกไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2563 เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 26”
สองวันต่อมา ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2563 เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรของเครือข่ายประชาชน 5 ภูมิภาค ได้มีการแสดงออกในหลายพื้นที่เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนข้อเรียกร้องของเครือข่ายประชาชน 5 ภูมิภาค ที่เรียกร้องให้ยกเลิกการบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน หนึ่งในนั้นคือ ‘กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้าน’ ต.นาหนองบง อ.วังสะพุง จ.เลย ที่ต่อสู้คัดค้านการทำเหมืองแร่ทองคำจังหวัดเลย จนสามารถยกเลิกการทำเหมืองทองคำ และกำลังผลักดันให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเข้ามาทำการฟื้นฟูเหมืองตามคำพิพากษา ได้ออกแถลงการณ์อย่างกระชับสั้นเพื่อร่วมสนับสนุนเครือข่ายประชาชน 5 ภูมิภาค โดยมีเนื้อหาสาระสำคัญที่น่าสนใจ ดังนี้
“แถลงการณ์ มนุษย์ที่ถูกกดขี่ซึ่งสิทธิและเสรีภาพ จะเป็นมนุษย์ที่มีสุขภาพดีไปได้อย่างไร
“เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้าน ที่ต่อสู้กับเหมืองทองคำจังหวัดเลย จนสามารถยกเลิกการทำเหมืองได้ และกำลังผลักดันให้เกิดการฟื้นฟูเหมืองอยู่ในขณะนี้ ขอร่วมสนับสนุน 'เครือข่ายประชาชน 5 ภูมิภาค' ที่กำลังรณรงค์ให้มีการยกเลิก พ.ร.ก. ฉุกเฉิน โดยใช้ พ.ร.บ. โรคติดต่อ ก็เพียงพอแล้ว
“พวกเราเห็นว่ามนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ มาตรการของรัฐบาลที่ต้องการให้ 'สุขภาพนำเสรีภาพ' โดยทำการละเมิดและลิดรอนสิทธิและเสรีภาพในการเคลื่อนไหวเพื่อชุมนุมและแสดงความคิดเห็น เพื่อต้องการควบคุมโรคโควิด 19 ให้เด็ดขาดนั้น เป็นมาตรการที่ขาดความเข้าในความเป็นมนุษย์อย่างถ่องแท้
“เนื่องจากมนุษย์ที่มีสุขภาพดี แต่ถูกละเมิดสิทธิและเสรีภาพ จะเป็นมนุษย์ที่ไร้ซึ่งความสุข เป็นความทุกข์อย่างหนึ่งที่เป็นบ่อเกิดของโรคอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย
“ดังนั้น การลิดรอนและละเมิดสิทธิและเสรีภาพ ตัดขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาบ้านเมือง ด้วยการที่รัฐบาลต่ออายุ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ไปอีก 1 เดือน จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ จึงขอคัดค้านมา ณ ที่นี้”.
ติดต่อประสานงาน - Contact
Tel : 099-014-3797
ทศพร แกล้วการไร่ : ผู้ดูแลเว็บ - Webmaster
Tel : 080-078-4016
อัฎธิชัย ศิริเทศ : บรรณาธิการ - Editor
Tel : 082-178-3849
Email : webmaster@thaingo.org
Office Hours : Mon-Fri , 9.00-17.00
2044/23 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพ 10310
2044/23 New Phetchaburi Road, Bangkapi, Huai Khwang, Bankok 10310
+662 314 4112