12 February 2015
3527
หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบว่าเมื่อวันที่ 20 มกราคมของทุก ๆ ปี เป็นวัน ระลึกถึงเพนกวิน “National Penguin Awareness Day” ซึ่งวัตถุประสงค์ของวันระลึกถึงเพนกวินนี้ก็คือ สร้างความตระหนักเกี่ยวกับสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อเหล่านกเพนกวิน ทั้งเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่ว และภาวะโลกร้อนมีแต่จะวิกฤติมากขึ้น
นกเพนกวินจักรพรรดิ รวมตัวกันบริเวณอ่าวเซนต์แอนดรูว์ ทางใต้ของรัฐจอร์เจีย
นกเพนกวินทั่วโลกมีทั้งหมด 17 สายพันธุ์ ตั้งแต่เพนกวินสายพันธุ์ใหญ่อย่างเพนกวินจักรพรรดิ ไปจนถึงสายพันธุ์เล็กอย่างเพนกวินสีน้ำเงิน ซึ่งทุกสายพันธุ์อาศัยอยู่บริเวณซีกโลกใต้ เจ้านกหน้าตาน่ารักมีครีบคล้ายปลาเหล่านี้มีความสำคัญต่อระบบนิเวศของมหาสมุทร เนื่องจากเป็นทั้งผู้ล่าและผู้ถูกล่าในห่วงโซ่อาหาร พวกมันกินปลา กุ้งตัวเล็ก ๆ รวมทั้งหมึก ในขณะเดียวกัน เพนกวินก็เป็นอาหารให้กับวาฬและแมวน้ำอีกด้วย
บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อย่าง เชลล์ ยังคงไม่ล้มเลิกแผนการที่จะขุดเจาะน้ำมันในทวีปอาร์กติกซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของ หมีขาว สิงโตทะเล แมวน้ำ รวมถึงสุนัขจิ้งจอกอาร์กติก แม้จะมีเสียงคัดค้านจากกว่า 6.6 ล้านเสียงทั่วโลก ผ่านทางSavethearctic.org และต้องการหยุดยั้งแผนของเชลล์ในครั้งนี้ เพราะอาร์กติกมีน้ำมันให้พวกเขาใช้ได้เพียงแค่ 3 ปีของปริมาณการใช้น้ำมันทั้งโลกเท่านั้น ซึ่งแม้ว่าจะมีบริษัทน้ำมันหลายชาติถอนตัวออกจากการสำรวจน้ำมันที่อาร์กติกแล้ว แต่เชลล์ก็ยังคงเดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจเสียงคัดค้านใด ๆ โดยมีแผนจะขุดเจาะน้ำมันในฝั่งอลาสกาของภูมิภาคอาร์กติกในฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึง
ล่าสุด โครงการแผนขุดเจาะน้ำมันที่อาร์กติกผ่านความเห็นชอบจากสมาชิกวุฒิสภาแล้ว เรากำลังส่งเสียงไปให้ถึงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ท่านใช้สิทธิ์ปกป้องอาร์กติกจากภัยร้ายแรงครั้งนี้
แม้ว่าน้ำมันนั้นจะทำให้ยานพาหนะแล่นได้ ทำให้การคมนาคมจึงสะดวกสบายขึ้นก็ตาม แต่การขุดเจาะน้ำมันที่กำลังจะเป็นปัจจัยในการเร่งให้น้ำแข็งขั้วโลกเหนือละลายเร็วขึ้นนั้น เป็นภัยร้ายแรงที่อยู่อาศัย รวมถึงชีวิตของสัตว์ในอาร์กติกทั้งหมด
แล้วเกิดผลกระทบอะไรกับนกเพนกวินที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในทวีปอาร์กติก ?
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับอาร์กติกไม่ได้ส่งผลกระทบอยู่แค่เพียงในอาร์กติกเท่านั้น แม้จะเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในแถบแอนตาร์กติกหรือขั้วโลกใต้ที่ห่างไกลออกไปอีกซีกโลก แต่เพนกวินก็ไม่รอดพ้นจากภัยของการขุดเจาะน้ำมันในทวีปอาร์กติกที่กำลังจะเกิดขึ้น และบทเรียนจากผลกระทบของเหตุการณ์น้ำมันรั่วที่เกิดขึ้นกับนกเพนกวินเหล่านี้น่าจะเป็นบทเรียนที่แสนล้ำค่าให้กับอนาคตของภูมิภาคอาร์กติก หากมีการขุดเจาะน้ำมันเกิดขึ้น
ภัยจากน้ำมัน
ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ.2543 นกเพนกวินแอฟริกันต้องรับเคราะห์จากเหตุการณ์น้ำมันรั่วจากเรือ เทรเชอร์ หลายพันตันบริเวณนอกชายฝั่งเคป ทาวน์ แอฟริกาใต้ ระหว่างเกาะร็อบเบน และเกาะเดสเซน ซึ่งเกาะทั้งสองเป็นสถานที่ผสมพันธุ์หลักของเพนกวิน
เหตุการณ์น้ำมันรั่วครั้งนั้นเพนกวินที่รอดชีวิต 20,000 ตัว ต้องเข้ารับการรักษาเนื่องจากทั้งตัวถูกเคลือบไปด้วยน้ำมันดิบ เนื่องด้วยเจ้านกเพนกวินมีขนสองชั้น ชั้นด้านในเป็นขนหนานุ่มป้องกันความหนาวในฤดูหนาว ส่วนขนชั้นนอกจะมีน้ำมันตามธรรมชาติเคลือบไว้เพื่อเป็นขนกันน้ำ แต่เมื่อขนของมันถูกเคลือบน้ำมันดิบแล้ว ขนของมันจึงไม่สามารถกันน้ำและอากาศหนาวได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ ‘เทรเชอร์’ นี้ยังมีข่าวดีให้พอชื่นใจบ้าง เมื่อเหล่าอาสาสมัครกว่า 12,500 คน จาก The South African Foundation for the Conservation of Coastal Birds(SANCCOB) สามารถช่วยชีวิตนกเพนกวินแอฟริกันที่เคยถูกจดทะเบียนเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธ์ได้เกือบทั้งหมด
เจ้าหน้าที่กำลังทำความสะอาดนกเพนกวินสีน้ำเงิน เพื่อล้างคราบน้ำมันออกจากขน
เช่นเดียวกับเหตุการณ์น้ำมันรั่ว ‘รีน่า’ ในปี พ.ศ.2554 เมื่อเรือรีน่าที่บรรทุกน้ำมันดิบ 1,700 ตัน น้ำมันเรือดำน้ำ200 ตัน รวมทั้งสารพิษอีกหลายชนิด ล่มที่ทัวรังก้า ประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นอุบัติเหตุทางสิ่งแวดล้อมที่ร้ายแรงที่สุดของนิวซีแลนด์ นอกจากสารพิษที่จมลงทะเลจะทำลายสิ่งแวดล้อมใต้ทะเลแล้ว ครั้งนี้น้ำมันที่รั่วไหลจากเรือรีน่าก็ทำร้ายนกเพนกวินสีน้ำเงินเช่นกัน
เพนกวินสีน้ำเงินที่เข้ารับการรักษาหลังจากเหตุการณ์ ‘รีน่า’
ขณะนี้ ถ้าโครงการขุดเจาะน้ำมันในอาร์กติกได้รับการอนุมัติแล้วล่ะก็ แม้ไม่ได้อยู่ในทวีปอาร์กติกก็ตาม แต่เพนกวินก็จะเสี่ยงต่อภัยจากน้ำมันดิบรั่วมากขึ้น เพราะอุตสาหกรรมน้ำมันมีการขนส่งไปทั่วโลก
ภัยจากสภาวะโลกร้อน
อาร์กติกเปรียบเหมือนเครื่องปรับอากาศของโลกและยังรักษาสมดุลของสภาพอากาศและน้ำทะเล แต่ตอนนี้ อาร์กติกกำลังจะกลายเป็นทวีปไร้น้ำแข็งไปเสียแล้ว หลังจากนักวิทยาศาสตร์และลูกเรือกรีนพีซ ลงสำรวจพื้นที่อาร์กติก เพื่อสังเกตการละลายของน้ำแข็ง แล้วก็พบสิ่งที่น่าตกใจ
น้ำแข็งละลายเร็วกว่าปกติ! เพราะกระแสน้ำอุ่นขึ้น
แล้วเพนกวินตกอยู่ในอันตรายได้อย่างไร คำตอบก็คือ ภาวะโลกร้อนนั้นเป็นสาเหตุทำให้น้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกาละลายเช่นกัน ส่งผลให้จำนวนนกเพนกวินลดน้อยลง เพราะพวกมันต้องวางไข่บนผืนน้ำแข็งบางซึ่งเสี่ยงมากที่น้ำแข็งจะแตก หรือเมื่อลูกนกฟักออกมาแล้วพบกับสภาพอากาศแปรปรวนเนื่องจากภาวะโลกร้อน บางครั้งอากาศหนาวเย็นต่ำกว่าจุดเยือกแข็งมาก บางครั้งอุณหภูมิสูงกว่าเยือกแข็งจะมีฝนตกลงมา ลูกนกเพนกวินจำนวนมากที่ยังไม่มีขนชั้นนอกที่กันน้ำได้ก็จะแข็งตาย
ลูกนกเพนกวินที่ยังไม่มีขนชั้นนอก
การขุดเจาะน้ำมันที่อาร์กติกก็จะเป็นปัจจัยเร่งให้โลกร้อนขึ้นอีก เพราะนอกจากการขุดเจาะน้ำมันบนน้ำแข็งจะทำความสะอาดได้ยากแล้ว สภาพแวดล้อมของอาร์กติกยังเป็นอุปสรรคต่อการขุดเจาะน้ำมัน เช่น การชนกันของภูเขาน้ำแข็งกับแท่นขุดเจาะ ซึ่งวิธีการจัดการของบริษัทคือการใช้เรือไฟละลายน้ำแข็งหากมีภูเขาน้ำแข็งเข้ามาใกล้ ซึ่งเรือไฟนี้ไม่ใช่วิธีที่เข้าท่าเอาเสียเลย
สภาวะโลกร้อนยังส่งผลให้กุ้งที่เป็นอาหารของเพนกวินและสัตว์อีกหลายชนิดมีจำนวนลดลง ทำให้ให้เพนกวินขาดแหล่งอาหารจนจำนวนประชากรเพนกวินลดลง ส่วนวาฬและแมวน้ำซึ่งกินเพนกวินเป็นอาหารก็จะได้รับผลสะเทือนไปด้วย
แม้จะไม่ได้อาศัยอยู่ในทวีปอาร์กติก นกเพนกวินเองก็จะได้รับผลกระทบจากการขุดเจาะน้ำมันเหมือนกับเพื่อนหมีขาว จิ้งจอกอาร์กติก และสิงโตทะเล ดังคำที่กล่าวไว้ว่า “เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว”
เราช่วยเพนกวินได้อย่างไรบ้าง
เราสามารถช่วยเหลือนกเพนกวินเหล่านี้ได้ ด้วยการลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลที่สกปรก หันไปสู่ทางออกเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนอย่างการใช้พลังงานหมุนเวียน ยุติการเผาไหม้พลังงานสกปรก ที่เป็นตัวการทำให้น้ำแข็งละลายส่งผลกระทบต่ออาร์กติกตั้งแต่แรกเริ่ม
เหล่านกเพนกวินคงจะดีใจมาก ถ้าพวกเขารู้ว่าคุณกำลังช่วยเหลือพวกเขาอยู่!
ร่วมลงชื่อกับเราเพื่อเป็นอีกหนึ่งเสียงในการร่วมปกป้องอาร์กติก
Blogpost โดย Supang Chatuchinda -- กุมภาพันธ์ 3, 2558 ที่ 16:17
ที่มา : http://www.greenpeace.org/seasia/th/news/blog1/blog/52024/