27 July 2022
1500
เภสัชกรวิบูลย์ คลายนา เภสัชกรชำนาญการพิเศษ ศูนย์อนามัยที่ 12
" สมองมีก้อนเดียว อย่าเดิมพันด้วยราคาที่สูงกับกัญชา" อาจารย์หมอท่านหนึ่งได้กล่าวไว้
เมื่อปลดล็อคกัญชาจากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 มาสู่การใช้อย่างเสรี (แต่ปลดล็อคด้วยเหตุผล เป็นสมุนไพรควบคุมเพื่อใช้ทางการแพทย์) ทำให้ต่อไปมีการใช้กัญชาเพิ่มขึ้นน่าจะมากกว่าเดิมเป็นสิบๆเท่า ด้วยรูปแบบและผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย มากมาย ทั้งทานสด ปรุงเป็นอาหาร เป็นเครื่องดื่ม ขนม คุ๊กกี้ ลูกอม(เยลลี่กัญชาที่ใช้กันมากในวัยรุ่น) การสูบ รวมทั้งในเครื่องสำอางค์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสบู่ โลชั่น ครีมทาผิว ลิปสติก ฯลฯ จากการวิจัยพบว่า ผู้ที่ใช้กัญชาอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 1 เดือน สมองจะถูกทำลายอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนผู้ที่ใช้สม่ำเสมอในระยะเวลา 5-10 ปี สมองจะถูกทำลายอย่างถาวร และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนๆนั้นจะเป็นโรคจิต.....ถ้าปล่อยไว้อย่างนี้อีก 5 ปีประเทศไทยเราจะเป็นอย่างไร? ขาดคนทำงาน (คนที่เสพกัญชานานๆร่างกายจะอ่อนแอ กล้ามเนื้อไม่มีแรง การคิด/ตัดสินใจ การคิดเป็นเหตุเป็นผลทำได้ไม่ดีเพราะสมองถูกทำลาย) ปัญหาสังคมยิ่งเท่าทวี งบประมาณถูกใช้จ่ายในด้านการรักษาผู้เสพยา เยียวยาให้กับผู้ได้รับผลกระทบต่างๆทั้งจากการถูกทำร้าย ถูกฆ่า ฯลฯ เหมือนกับปัญหาจากยาเสพติดชนิดอื่นๆ (อ๋อ กัญชาไม่เป็นยาเสพติดแล้ว ถูกถอนจากการเป็นยาเสพติดแล้ว แต่ฤทธิ์ของมันทางเภสัชวิทยายังคงเป็นไปตามนิยามของยาเสพติดอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้ นั่นคือ เมื่อเสพไปแล้วก็มักจะเพิ่มปริมาณขึ้น เมื่อถึงระยะหนึ่งหากหยุดใช้ก็จะเกิดอาการ "ขาดยา" แล้วก็มักจะกลับมาใช้ใหม่ )
" กัญชามีประโยชน์ในทางการแพทย์ (จากสาร CBD หรือสารต้านเมา) แต่โทษมากกว่า " การใช้ประโยชน์เพื่อเป็นยารักษาโรคนั้น เอาเข้าจริงๆคือ กัญชาไม่ใช่ทางเลือกแรกๆในการรักษา ( Drug of choice ) แต่เป็นทางเลือกท้ายๆ เป็นทางเลือกที่ใช้สนับสนุนการรักษาเสียมากกว่า ซึ่งแพทย์ผู้ใช้ต้องพิจารณาชั่งน้ำหนักว่าจะเกิดประโยชน์มากกว่าจริงๆถึงได้นำมาใช้ เช่น ใช้กัญชาควบคุมอาการชักในเด็กที่ใช้ยาแล้วไม่ได้ผล นั่นคือมียากันชักหลายๆตัวที่ใช้ หากไม่ได้ผลจริงๆแบบไม่มีอะไรจะเสียก็ใช้กัญชา แต่วิธีการปรับขนาดนี่จะต้องค่อยๆปรับ ต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์เสมอ แต่สิ่งที่น่ากลัวของกัญชาคือ ผู้ใช้และเสพติดไปแล้ว เมื่อต้องการการรักษาอาจใช้เวลาในการรักษาในโรงพยาบาลนาน ( ใช้งบประมาณสูง ใช้บุคลากรทางการแพทย์ในการดูแลมาก ) บางรายใช้เวลา 1-2 ปีหรือมากกว่านั้น เมื่อหายแล้วกลับมาใช้ชีวิตตามปกติในสังคม แต่...วันหนึ่งเมื่อบังเอิญเขาไปได้กลิ่นกัญชาจากที่ใดก็ตามในครั้งแรก " วงจรสมองจะทำงานทันที" ทำให้ผู้นั้นย้อนกลับไปเสพกัญชาได้ง่ายมากด้วยคำพูดที่เขาบอกว่า " อดจะต้านทานไว้ได้ " ก็เข้าวงจรเดิมๆ ด้วยสิ่งแวดล้อมเดิมๆ บรรยากาศเดิมๆ .....แล้วก็เกิดปัญหาสังคมเหมือนกับยาเสพติดอื่นๆที่พวกเรารู้กัน
ยังไม่ทันไรข่าวคราวการเสียชีวิตจากการใช้กัญชา ข่าวนักเรียนแอบนำน้ำกัญชา (ที่พ่อตัวเองจำหน่าย) ไปโรงเรียนแล้วปิดห้องดื่มกับเพื่อนๆ เมื่อครูมาห้ามก็จะทำร้ายครู และข่าวที่เกิดในต่างประเทศที่พ่อแม่พาลูกๆไปทานขนม ไปทานเค้ก คุกกี้ บราวนี่กัน จู่ๆลูกคนเล็กหวีดร้องขึ้นมาและมีอาการคุ้มคลั่ง เหงื่อแตก ใจสั่น แน่นหน้าอก หัวใจเต้นเร็ว ควบคุมตัวเองไม่ได้ หวาดกลัว อาการเหมือนจะตาย ช็อคจนต้องเข้า ICU ซึ่งมารู้ตอนหลังว่า ทางร้านแอบใส่กัญชาโดยไม่บอกให้ลูกค้ารู้ และมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากสาเหตุของกัญชาอีกมากมายทั้งที่เป็นข่าวและอีกมากมายที่ไม่เป็นข่าว
เราจะไม่รับรู้ ไม่ยินดียินร้ายกับการเปิด กัญชาเสรี เพราะคิดว่า เรื่องนี้มันห่างไกลตัวเรา ลูกหลานของเรา สังคมของเราอย่างนั้นหรือ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันใกล้ตัวมากขึ้นทุกทีแล้ว ต่อไปเราจะไปกินอะไร ที่ร้านไหนต้องคอยเลือก คอยหวาดระแวงว่าจะได้รับกัญชาแบบไม่ได้ตั้งใจจากอาหาร เครื่องดื่ม คอยหวาดระแวงเมื่อออกนอกบ้านหรืออยู่ในบ้านด้วยซ้ำจากปัญหาหรืออันตรายจากผลของคนในสังคม ชุมชนบ้านเรา....เสพกัญชา เราจะยอมให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับเราและชุมชนเราหรือ?
เราต้องการให้คนอื่นมาบอกว่า ประเทศไทยคือ สยามเมืองยิ้มที่ออกมาจากใจ หรือเราจะเป็นสยามเมืองยิ้มเพราะกัญชาทุกท่านต้องร่วม