5 September 2025
186
การยุติบริการด้านสุขภาพของ International Rescue Committee (IRC) ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยสู้รบเมียนมา เมื่อ 31 กรกฎาคม 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการจัดการด้านมนุษยธรรมของไทย หลังจากกว่า 40 ปีที่ผ่านมา บทบาทหลักของการดูแลสุขภาพผู้หนีภัยกว่า 60,000 คน ถูกขับเคลื่อนโดยองค์กรพัฒนาเอกชนที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ
เมื่อช่องว่างนี้เกิดขึ้น กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จึงต้องก้าวขึ้นมาเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง พร้อมเสนอ “แผนระยะเปลี่ยนผ่าน 12 เดือน” (1 ต.ค. 2568 – 30 ก.ย. 2569) เพื่อให้บริการด้านสุขภาพดำเนินต่อได้อย่างไม่สะดุด และสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาคมโลกว่าไทยสามารถดูแลด้านมนุษยธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในขั้นตอนนี้ สธ. ได้ประสานหารือกับหน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO), องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA), สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) และกองทุนระหว่างประเทศต่าง ๆ เพื่อสร้างความร่วมมือในการสนับสนุนการดูแลสุขภาพผู้หนีภัยอย่างครบวงจร
2 แนวทางหลัก “ประกันสุขภาพรายหัว – ศูนย์สุขภาพชายแดน”
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า การดูแลผู้หนีภัยในค่ายพักพิงจะใช้ 2 แนวทางควบคู่กัน คือ
ทั้งสองแนวทางนี้จะใช้งบประมาณปี 2569 ประมาณ 159 ล้านบาท ซึ่งต้องผ่านการพิจารณาของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และคณะรัฐมนตรี
เชื่อมโยงมาตรการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวกับการดูแลสุขภาพผู้หนีภัยเมียนมา
น่าสังเกตว่า แผนดูแลสุขภาพผู้หนีภัยสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ที่เปิดทางให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ซึ่งพำนักระยะยาวในพื้นที่พักพิงชั่วคราว สามารถขออนุญาตทำงานได้อย่างถูกกฎหมายในประเทศไทย การจัดระบบนี้ช่วยให้ผู้หนีภัยในค่ายสามารถเข้าสู่ระบบแรงงานอย่างเป็นทางการ และเข้าถึงระบบประกันสุขภาพของรัฐเช่นเดียวกับแรงงานข้ามชาติที่ขึ้นทะเบียนทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ค่าเบี้ยประกันสุขภาพแรงงานข้ามชาติของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1,735 บาทต่อคนต่อปี ยังต่ำกว่าค่าใช้จ่ายจริงในการดูแลสุขภาพประชาชนไทยในระบบบัตรทอง เฉลี่ย 4,000 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายด้านงบประมาณอย่างชัดเจน หากแรงงานข้ามชาติไม่เข้าสู่ระบบประกันสุขภาพ จะส่งผลกระทบต่องบประมาณกระทรวงสาธารณสุขราว 4,000-5,000 ล้านบาทต่อปี
บททดสอบด้านมนุษยธรรมและความมั่นคง
การวางระบบสุขภาพให้กับผู้หนีภัยเมียนมา จึงไม่ใช่เพียงการบรรเทาภาระของบุคลากรทางการแพทย์หรือควบคุมโรคระบาดเท่านั้น แต่ยังเป็นบททดสอบด้านมนุษยธรรมของประเทศไทยท่ามกลางสายตานานาชาติ พร้อมทั้งเป็นยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงที่เชื่อมโยงกับการจัดการแรงงานข้ามชาติอย่างเป็นระบบ
ท้ายที่สุด ความสำเร็จของแผน 12 เดือนนี้ขึ้นอยู่กับความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงสาธารณสุข รับผิดชอบด้านการรักษาพยาบาลและการควบคุมโรค กระทรวงมหาดไทยที่ดูแลการจัดทำทะเบียนและบัตรประจำตัวบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย สภากาชาดไทย สวทช. ใช้ข้อมูลชีวมิติระบุตัวตนของแรงงานต่างด้าว ที่ไม่มีเอกสารประจำตัว หรือองค์กรระหว่างประเทศที่ร่วมแบ่งเบาภาระ งบประมาณและกลไกการจัดการที่ชัดเจน จะเป็นตัวชี้วัดว่า ประเทศไทยสามารถเปลี่ยน “วิกฤติ” ให้กลายเป็น “โอกาสในการจัดระบบสุขภาพชายแดน” ได้จริงหรือไม่
ภาพและข้อมูลจาก