Back

เมื่อคำว่า อพยพ ไม่ได้แปลว่าแค่หนีตาย

เมื่อคำว่า อพยพ ไม่ได้แปลว่าแค่หนีตาย

31 July 2025

41

เมื่อคำว่า อพยพ” ไม่ได้แปลว่าแค่หนีตาย

 

ชีวิตและความผูกพันของชาวบ้านแดนอีสานใต้ ที่เลือกอยู่กับความเสี่ยง ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา เสียงปืนและแรงสั่นสะเทือนของความไม่แน่นอน กำลังผลักดันให้ผู้คนในพื้นที่ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต จะอยู่ หรือ จะไป?

เราเห็นข่าวการอพยพของชาวบ้านบางส่วนที่ทยอยเดินทางออกจากบ้าน ไปยังศูนย์อพยพในพื้นที่ปลอดภัย หรือย้ายไปพักกับญาติพี่น้องในถิ่นที่สงบกว่า แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีอีกไม่น้อยที่ยังคงเลือกอยู่กับบ้าน หลบภัยกันอย่างเงียบ ๆ ในละแวกใกล้เคียง

 

ทำไมถึงไม่หนีไม่กลัวหรือ?

คำถามนี้สะท้อนมุมมองของคนนอก ที่ไม่ต้องเผชิญความจริงในพื้นที่เสี่ยงภัย ไม่ต้องเฝ้าบ้านที่สร้างมากับมือ ไม่ต้องกังวลว่าไร่นาที่เพิ่งลงกล้า จะถูกเหยียบย่ำ
หรือวัว ควาย เป็ด ไก่ ที่เป็นทั้งเพื่อน ทั้งทรัพย์สิน จะสูญหายไปในพริบตา

สำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ คนจน และครอบครัวเกษตรกรจำนวนมาก บ้านไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่คือชีวิต ความทรงจำ และการลงทุนทั้งแรงกายแรงใจมาตลอดทั้งชีวิต

การอพยพสำหรับพวกเขา ไม่ใช่แค่การย้ายจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง แต่มันคือการละทิ้งสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต โดยไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าจะได้กลับมาอีกครั้ง

ไร่นาที่เพิ่งลงกล้า สวนที่รอวันเก็บเกี่ยว วัวควายที่เป็นทั้งอาชีพหลัก และเงินทุนสำรองในยามคับขัน ล้วนเป็นเส้นเลือดใหญ่ของครัวเรือน มันคือรากฐานของการมีชีวิตอยู่ต่อได้หลังจากนี้

หลายคนลังเล ไม่ใช่เพราะไม่กลัวตาย แต่เพราะกลัวว่า เมื่อรอดกลับมาแล้ว จะไม่มีอะไรเหลือให้ใช้ชีวิตต่อ เพราะสำหรับพวกเขา “อยู่รอด” ไม่ได้หมายถึงแค่มีชีวิต
แต่หมายถึงการมี “บ้าน” ให้กลับไป

 

อพยพ” ไม่ได้แปลว่าทุกคนมีทางเลือก

การหนีออกจากพื้นที่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับบางคน เพราะการอพยพ ต้องใช้ทรัพยากร ต้องมีรถ มีเงินสำรอง มีเครือข่าย มีคนช่วยเหลือ แต่ในหลายพื้นที่ กลับไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย ไม่มีระบบขนส่งที่เข้าถึงได้ ไม่มีแผนดูแลทรัพย์สินหรือสัตว์เลี้ยง ไม่มีการสื่อสารที่เข้าใจบริบทของคนท้องถิ่น ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับการอพยพอย่างเป็นระบบ 

การอพยพจึงไม่ใช่ทางเลือกที่เปิดให้กับทุกคน แต่มันคือความจำยอมที่หลายคนแบกรับไว้เพียงลำพัง

 

แล้วใครคือ เรา” ?

ในขณะที่หลายฝ่ายออกมาประกาศว่า “เราพร้อมรับมือกับสถานการณ์” คำถามคือ ใครคือ “เรา” ?

ชาวนา ชาวไร่ ผู้พิการ ผู้สูงอายุ พร้อมไหม มีระบบและแผนรองรับที่เป็นรูปธรรมแล้วหรือยัง มีการกระจายทรัพยากรอย่างเป็นธรรมจริงหรือ

แล้วมีใครฟังเสียงของพวกเขาไหม

 

แม้จะมีศูนย์พักพิง พร้อมที่นอนและอาหารให้บริการ แต่ความมั่นคงในจิตใจของคนจน คนแก่ คนในพื้นที่ชนบท ไม่ได้อยู่ที่ “เต็นท์ปลอดภัย” แต่อยู่ที่ “บ้านของเรา”

 

เราต้องฟังพวกเขา  ไม่ใช่แค่พูดแทน

สถานการณ์เช่นนี้ ไม่อาจมองได้ด้วยเลนส์ความมั่นคง หรือด้านความปลอดภัยเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องฟังเสียงของผู้คนที่อยู่ในความเสี่ยง ฟังด้วยหัวใจที่เข้าใจความเป็นมนุษย์ และเข้าใจว่าคำว่า บ้าน สำหรับบางคน ไม่ใช่แค่หลังคาเหนือหัว แต่คือทั้งหมดของชีวิต!!!

 

 

Recent posts