: Plan international
: Nonprofits / องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร
: 1962
: 19 February 2022
4 March 2022
การวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางสังคม (Cost-Benefit Analysis)
ในการแก้ไขปัญหาสถานะบุคคลของ เด็กนักเรียนนักศึกษาไร้รัฐไร้สัญชาติในสถานศึกษา
|
เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาสิทธิและความเสมอภาคของเด็ก โดยเฉพาะสําหรับเด็กผู้หญิงทั่วโลก ในฐานะองค์กรพัฒนาอิสระและมนุษยธรรม เราทํางานร่วมกับเด็ก เยาวชน ผู้สนับสนุน และพันธมิตรของเรา เพื่อจัดการกับสาเหตุของความท้าทายที่เด็กหญิงและเด็กเปราะบางทุกคนต้องเผชิญ เราสนับสนุนสิทธิเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนกว่าจะถึงวัยผู้ใหญ่ และช่วยให้เด็กเตรียมพร้อมและตอบสนองต่อวิกฤตและความทุกข์ยาก เราผลักดันการเปลี่ยนแปลงในทางปฏิบัติและนโยบายในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับโลก โดยใช้การเข้าถึงประสบการณ์และความรู้ของเรา เป็นเวลากว่า 80 ปีที่เราได้สร้างความร่วมมืออันทรงพลังสําหรับเด็ก และเรามีบทบาทในกว่า 75 ประเทศทั่วโลก
|
โครงการ We Belong #Status ได้ดำเนินงานภายใต้สถานการณ์ สภาพปัญหาการไร้รัฐไร้สัญชาติของบุคคลในพื้นที่ภาคเหนือ ยังคงมีจำนวนมากในสถานศึกษา เขตการศึกษาของจังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะเด็กที่ขึ้นต้นด้วยรหัส G เด็กไร้รัฐ
(ทุกสังกัด) ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาด้านสถานะและสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น ไร้สถานะทางกฎหมาย การเข้าถึงสิทธิด้านการศึกษา สิทธิการรักษาพยาบาล สิทธิการเดินทางออกนอกพื้นที่ และสิทธิการประกอบอาชีพ ทำให้เด็กๆ เหล่านี้เป็นกลุ่มเปราะบางที่เสี่ยงต่อการแสวงหาผลประโยชน์ทั้งทางด้านแรงงาน และเสี่ยงต่อการถูกแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศ
ความไร้รัฐ ไร้สัญชาติส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนหลายประการ เด็กและเยาวชนที่ไร้สถานะที่เข้าไม่ถึงระบบการศึกษาจะขาดโอกาสในการพัฒนาตนเองในรูปแบบต่างๆ เด็กหลายคนขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิตเพราะความหวาดกลัวและความกังวลในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเข้าไม่ถึงสิทธิขั้นพื้นฐานและการถูกเลือกปฏิบัติด้วยสาเหตุของการไม่มีสถานะบุคคล ส่งผลต่อโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขา แน่นอนว่าจะส่งกระทบในเชิงเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคมของประเทศในอนาคตด้วย
ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคม มีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาเพื่อให้เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงสิทธิต่างๆ ด้วยการช่วยให้เด็กเข้าสู่ระบบการศึกษาผ่านระบบการบันทึกด้วยรหัส G (บุคคลไร้รัฐ) อย่างไรก็ตาม พบว่า กระบวนการในการกำหนดเลข 13 หลักให้กับเด็กและเยาวชนที่ยังไม่มีสถานะทางทะเบียน ยังเผชิญกับอุปสรรคทั้งในเชิงนโยบายและแนวปฏิบัติบางประการ ซึ่งส่งผลให้เด็กและเยาวชนจำนวนมากไม่สามารถได้รับการรับรองสถานะ หรือมีความล่าช้าติดขัดบางประการ ทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณ และทรัพยากร ซึ่งหากได้รับการวินิจฉัยและแก้ไข จะช่วยให้กระบวนการการรับรองสถานะบุคคลของเด็กในสถานศึกษามีความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และช่วยขจัดความไร้รัฐของเด็กในสถานศึกษา ซึ่งเป็นฐานรากให้เด็กสามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานอื่นๆ ตามมา
เป็นที่แน่นอนว่า การขจัดความไร้รัฐของเด็กและเยาวชนในสถานศึกษา รวมถึงการจัดสรรทรัพากรที่จะเอื้อให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงสิทธิและการบริการจากภาครัฐ คือต้นทุนทางเศรษฐกิจของประเทศที่รัฐต้องแบกรับ อย่างไรก็ตาม หากเราพิจารณาตามความเป็นจริงว่า เด็กและเยาวชนเหล่านี้กำลังจะเติบโตขึ้นมาเป็นประชากรของประเทศ ที่สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและคุณค่าทางสังคมให้กับประเทศได้ในอนาคต จึงอาจกล่าวได้ว่า การลงุทนทางสังคมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กไร้รัฐไร้สัญชาติ คือการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ที่มุ่งผลเพื่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว และช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง
การศึกษาเปรียบเทียบความคุ้มค่าทางสังคม (Cost-Benefit Analysis) ของการดำเนินการแก้ไขปัญหาเด็กไร้รัฐในสถานศึกษา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการขับเคลื่อนเชิงนโยบายในอนาคต ข้อค้นพบจากการศึกษาในครั้งนี้จะช่วยผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการปรับปรุงนโยบายและแนวปฏิบัติที่เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการยื่นขอและพิจารณาสถานะบุคคล รวมถึงเข้าใจถึงความจำเป็นและความสำคัญในการลงทุนทรัพยากรเพื่อการพัฒนาสิทธิและคุณภาพชีวิตของเด็กไร้รัฐไร้สัญชาติภายใต้แผนการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศในอนาคต
|
การศึกษาวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางสังคม (Cost-Benefit Analysis) ในการขจัดความไร้รัฐในสถานศึกษา มุ่งศึกษาความคุ้มค่าในการลงทุนทางสังคมเพื่อขจัดความไร้รัฐในสถานศึกษา ว่าส่งผลกระทบต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กเยาวชนรวมถึงคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาวอย่างไร โดยมีวัตถุประสงค์ย่อยในการวิจัย ดังนี้
1. เพื่อศึกษาข้อเท็จจริง วิเคราะห์ สังเคราะห์ ข้อกฎหมายและแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสถานะบุคคลของกลุ่มเด็กเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ และอุปสรรคปัญหา ในการแก้ไขปัญหาความไร้รัฐไร้สัญชาติ ของเด็กนักเรียนนักศึกษาในสถานศึกษาที่มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยตัวอักษร G
2. เพื่อศึกษาผลกระทบทางสังคมทั้งทางตรงและทางอ้อม อันเกิดจากการที่เด็กและเยาวชน ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานในด้านต่างๆ ทั้งการศึกษา การรักษาพยาบาล การเดินทาง ปัญหาการเข้าถึงสิทธิในการบริการด้านหลักประกันสุขภาพ ปัญหาในการเข้าถึงทุนการศึกษา ปัญหาในการเดินทาง และปัญหาในการประกอบอาชีพ
3. เพื่อศึกษาประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ หากเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานด้านต่างๆ ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาคุณภาพชีวิต
4. เพื่อนำผลของการศึกษาในสามข้อดังกล่าวข้างต้น มาประเมินความคุ้มค่าทางสังคม (Cost-Benefit Analysis) ในการขจัดความไร้รัฐในสถานศึกษา เปรียบเทียบกับ ความคุ้มค่าในการลงทุนทางสังคมเพื่อขจัดความไร้รัฐในสถานศึกษาในประเทศไทย
สิ่งที่ต้องส่งมอบ |
รูปแบบ |
กำหนดส่ง |
รายละเอียดเพิ่มเติม |
รายงานการวิจัยขั้นต้น Inception Report |
.docx & .pdf |
ต้นเดือนมีนาคม 2565 |
|
เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลภาคสนาม (ข้อมูลต้นฉบับ) |
เอกสารต้นฉบับจริงจากภาคสนาม |
ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2565 |
|
แบบฟอร์มยินยอมการให้ข้อมูลที่กรอกเรียบร้อยแล้ว |
เอกสารต้นฉบับจริงจากภาคสนาม |
ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2565 |
|
เครื่องมือรวบรวมข้อมูล |
.docx & .pdf |
ภายในวันที่ 20 เมษายน 2565 |
ต้องผ่านการอนุมัติ Ethical Approval |
ข้อมูลดิบที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล (รวมถึงการถอดเทป) |
ในรูปแบบ .docx, Excel (.xlsx) (และ SPSS หากทำการวิเคราะห์เชิงปริมาณ) |
ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 |
|
รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์(รวมบทสรุปผู้บริหาร) |
.docx & .pdf |
ภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 |
จัดส่งไฟล์พร้อมจัดทำรูปเล่มรายงานงานวิจัยภาษาไทย 3 ฉบับ แปลเป็นภาษาอังกฤษ 3 ฉบับ |
บทสรุปงานวิจัยในรูปแบบโปสเตอร์สี ขนาด A3 |
โปสเตอร์สี ขนาด A3 รวมถึงไฟล์ต้นฉบับที่สามารถแก้ไขได้ |
ภายในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 |
|
PowerPoint presentation) งานวิจัย ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ |
.pptx & .pdf หรือรูปแบบที่แก้ไขได้อื่นๆ |
|
|
ทีมที่ปรึกษาที่มีความประสงค์จะเข้าร่วมการคัดเลือกในครั้งนี้ ควรมีคุณสมบัติต่างๆ ดังต่อไปนี้
มีประสบการณ์การทำงานด้านสังคมศาสตร์หรือการวิจัยด้านกฎหมาย ไม่ต่ำกว่า 3 ปี
มีประสบการณ์ในการทำวิจัยในลักษณะของการประเมินความคุ้มค่าทางสังคม (Cost-Benefit Analysis)
มีความรู้ความเข้าใจในการทำงานร่วมกับกลุ่มชาติพันธุ์ และสามารถทำงานในสถานการณ์ต่างๆ ได้
มีความรู้ความเข้าใจ สามารถตั้งคำถาม จับประเด็น สรุป วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อเท็จจริง โดยเฉพาะด้านกฎหมายที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้
มีทักษะในการสื่อสารที่ชัดเจน สามารถบริหารจัดการ มีความเป็นผู้นำ คล่องตัว สามารถจัดการปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่กระทบต่องานวิจัย ทำงานเป็นทีม เปิดโอกาสรับฟังความคิดเห็นของทีมงานในฝ่ายวิชาการ และภาคส่วนสนับสนุนในท้องถิ่น มีความรับผิดชอบ และตรงต่อเวลา
มีความรู้ความเข้าใจในวิถีชีวิต วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ
มีความรู้ความเข้าใจในการปรับตัวในการทำงานในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ในปัจจุบันเป็นอย่างดี
มีความสามารถในการถามคำถาม ประมวลคำถาม และคำตอบในการทำงานกับกลุ่มเยาวชน
9) มีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีเยี่ยม ทั้งฟัง พูด อ่าน และเขียน10)หากมีประสบการณ์ในการทำงานที่คล้ายคลึงกันสำหรับ INGOs หรือผู้บริจาคจากต่างประเทศ จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
คุณสุมิตร วอพะพอ; ผู้จัดการ We Belong#Status, Plan International Thailand (Sumit.Wophapho@plan-international.org)
คุณสุดาวดี ลิมไพบูลย์; MERL Manager, Plan International Thailand (sudawadee.limpaibul@plan-international.org)
ผู้สมัครที่สนใจควรให้ข้อเสนอที่ครอบคลุมด้านต่อไปนี้:
โครงร่างงานวิจัยที่ตอบสนองตามรายละเอียดใน TOR
นำเสนอกระบวนการการดำเนินการด้านจริยธรรมและวิธีการปกป้องเด็กและเยาวชน รวมถึงการระบุความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชน ตลอดจนแผนการรับมือความเสี่ยงนั้นๆ
ระยะเวลาในการดำเนินการวิจัย
ประวัติทีมวิจัย
ตัวอย่างผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องก่อนหน้านี้ อย่างน้อย 3 เรื่อง
งบประมาณโดยละเอียด รวมถึงอัตราค่าธรรมเนียมรายวัน ค่าใช้จ่าย ฯลฯ
ผู้สนใจ โปรดส่งใบสมัคร พร้อมด้วยโครงร่างการวิจัย มาที่ คุณสุพรชัย นวทวีพร Supornchai.nawataweeporn@plan-international.org ภายในวันที่ 4 มีนาคม 2565 เวลา 17.00